บอร์ดโรคติดต่อแห่งชาติ เคาะ เพิ่ม ‘วัคซีนฟรี’ ให้เด็ก 

บอร์ดโรคติดต่อแห่งชาติ เคาะ เพิ่ม ‘วัคซีนฟรี’ ให้เด็ก 

บอร์ดโรคติดต่อแห่งชาติ ดันบรรจุวัคซีน PCV เข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเด็กอายุ 6 เดือน - ต่ำกว่า 5 ปี

เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2568  ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2568 โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยนายพัฒนากล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

1.นโยบายการให้วัคซีนปี 2569 ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ  โดยมอบหมายให้กรมควบคุมโรคประสาน สปสช. ในการบรรจุวัคซีน PCV ป้องกันเชื้อก่อโรคปอดอักเสบและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

และการขยายกลุ่มเป้าหมายวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเดิมในเด็กอายุ 6 เดือน - ต่ำกว่า 3 ปี เป็นถึงอายุต่ำกว่า 5 ปี เพื่อให้เด็กอายุ 4 – 5 ปี ซึ่งพบอัตราป่วยตายสูงได้อยู่ในสิทธิประโยชน์ พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติมจาก 6 ล้านโดส เป็น 8 ล้านโดส เพื่อป้องกันโรคให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น

2.แนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้เกิดความครอบคลุม ทั้งสถานพยาบาลของภาครัฐทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข และส่วนท้องถิ่น รวมถึงประสานกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งดูแลสถานพยาบาลภาคเอกชน เพื่อกำหนดวิธีเชื่อมโยงข้อมูลฯ ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลความครอบคลุมของวัคซีนมีความน่าเชื่อถือ และนำไปใช้ในการวางแผนการป้องกันควบคุมโรค ตามเป้าหมายการกำจัดกวาดล้างโรคและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDG )

นายพัฒนา กล่าวด้วยว่า  ติดตามการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ในปี 2568 คัดกรอง 3,767,578 ราย พบผลบวก 93,289 ราย เข้าสู่การรักษาแล้ว 160,112 ราย ไวรัสตับอักเสบซี คัดกรอง 3,536,566 ราย พบผลบวก 35,182 ราย ได้รับยาแล้ว 7,134 ราย

ส่วนสถานการณ์โรคติดต่อสำคัญ พบแนวโน้มผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และรีบพบแพทย์หากมีอาการไข้ ไอ หรือหอบเหนื่อย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

นอกจานี้ ยังพบแนวโน้มผู้ป่วยโรคซิฟิลิสเพิ่มขึ้น จึงให้เร่งดำเนินการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องด้วย ส่วนการปรับปรุงกฎหมายโรคติดต่อให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันและมาตรฐานสากลซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อแล้วเสร็จจะทำให้ประเทศไทยมีเครื่องมือทางกฎหมายที่พร้อมรับมือโรคติดต่อในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แลการส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวภาพ (Biometric) ในการยืนยันตัวตนของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้เข้าถึงบริการได้สะดวก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของรัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคในพื้นที่เสี่ยง โดยเดือนตุลาคม 2568 ได้นำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครนายก ชลบุรี สมุทรปราการ จันทบุรี สระแก้ว ระยอง และตราด ล่าสุดขยายไปจังหวัดที่มีความพร้อมแล้ว 29 จังหวัด และจะผลักดันให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป

ถามถึงการป้องกันของระบบในการลักลอบซื้อขายม่านตาของแรงงานต่างด้าว นายพัฒนา กล่าวว่า  ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Security) ที่ใช้ในการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดเก็บฐานข้อมูลที่สาธารณสุขได้นำไปใช้นั้น มีความรัดกุมอยู่ในระดับสูง

“ขอยืนยันกับประชาชนว่า หากเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการโดยหน่วยงานสาธารณสุขอย่างเป็นทางการ จะเกิดขึ้นภายในสถานพยาบาล หรือสถานที่ที่ถูกกำหนดเอาไว้เท่านั้น อย่าหลงเชื่อกิจกรรมใด ๆ ที่จัดทำโดยมิจฉาชีพ”นายพัฒนากล่าว