‘บัตรทอง’ สั่นคลอน ‘รพ.สธ.’ EBITDA ติดลบกว่า 18,000 ล้าน ค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ 110%

สธ.เปิดสภาพการเงิน รพ.ในสังกัด ระบุกองทุนบัตรทอง ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ 110 % ส่งผลให้ EBITDA ติดลบราว 18,000 ล้าน เสนอเพิ่มฐานชดเชยผู้ป่วยใน แตะ 13,000 บาท เร่งหารายได้นอกงบ เพิ่ม 8.6 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.2568 ที่โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ ในการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ปีงบประมาณ 2569 นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึง การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืนว่า สถานการณ์การเงินของ รพ.สังกัดสธ. มีปัญหามากมาย และขาดทุนเรื่อยๆ ซึ่ง
การให้บริการของ สธ.พิจารณาจากจำนวนรายได้ สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองมากที่สุด 56 % สวัสดิการข้าราชการ 20 % ประกันสังคม 8 % และอื่นๆ 16 % โดย EBITDA ของรพ.สธ.ทั่วประเทศ รวมทุกกองทุน ตั้งแต่ปี 2561 - 2567 โดยปี 2561 กำไร 12,000 ล้านบาท เพิ่มมากช่วงการระบาดของโควิด-19 ร่วงลงมาติดลบปี 2566 ที่ราว 700 ล้านบาท ล่าสุดปี 2567 อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์การเงิน รพ.สธ.ที่เป็นเงินบำรุง รพ.ลบด้วยหนี้สิน พบว่า จะพีกอยู่ในช่วงโควิด ราว 1 แสนล้าน ลดลงมา จนตอนนี้เหลืออยู่รวมทั่วประเทศราว 20,000 ล้านบาท แต่การให้บริการมีการเพิ่มขึ้นตลอด
ขณะที่ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ปี 2564 อยู่ที่ 16,448.6 บาทต่อ AdjRW ปี 2565 อยู่ที่ 16,003.22 บาทต่อ AdjRW และปี 2566 อยู่ที่ 15,919.79 บาทต่อ AdjRW โดยทั้ง 3 ปี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)จ่ายให้ รพ.อัตราเดียวกัน คือ 8,350 บาทต่อ
ค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ 110%
เมื่อเปรียบเทียบรายได้-ค่าใช้จ่าย ปี 2567 ของรพ.สังกัด สธ. พบว่า กองทุนบัตรทอง มีรายได้ 179,855 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 198,335 ล้านบาท จึงมีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ 110 % ของรายได้
กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ มีรายได้ 55,164 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 43,654 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ 79 % ,กองทุนประกันสังคม มีรายได้ 24,364 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 22,234 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ 91 % และกองทุน และบริการอื่นๆ มีรายได้ 49,008 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 38,840 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ 79 % ของรายได้
ทั้งนี้ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ส่งผลให้ EBITDA ติดลบสูงถึง 18,479 ล้านบาท ขณะที่กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เป็นบวกที่ 11,510 ล้านบาทและ กองทุนประกันสังคม เป็นบวก 2,130 ล้านบาท
“เมื่อถัวเฉลี่ยทั้ง 3 กองทุน ทำให้ภาพรวม รพ.สธ.ยังไม่ได้ขาดทุน รพ.จึงไม่ถึงขนาดกับแย่มาก แต่ขาดทุนจากการให้บริการของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” นพ.สมฤกษ์ กล่าว
แผนหารายได้เพิ่มของ สธ.
ข้อเสนอแผนงบประมาณที่สำคัญ คือ หารือกับ สปสช.ในการเพิ่ม Base rate ของงบประมาณผู้ป่วยใน บัตรทอง จากเดิม 8,350 บาท เป็น 13,000 บาท โดยในปีงบประมาณ 2570 จะขอที่ 10,000 บาท ต่อไปจะขอที่ 13,000 บาท เพื่อยกระดับศักยภาพซึ่งจะแก้ปัญหาต่างๆ ของ รพ.ด้วย รวมทั้ง กรณีสมองไหล
นอกจากนี้ ยังมีแผน หารายได้เพิ่ม จากการขยายบริการห้องพิเศษ และบริการโฉมใหม่ของกลุ่มข้าราชการผ่านพรีเมียมคลินิกใน และนอกเวลาราชการอีก 20 % ,ปฏิรูประบบจัดสรร และบริการคนไข้ประกันสังคม เน้นสัดส่วนคนแข็งแรงต่อคนป่วยให้พอเหมาะ
และแหล่งเงินนอกงบประมาณ รวมมูลค่ากว่า 86,000 ล้านบาทต่อปี ได้แก่ ประกันชีวิตเอกชน 20,000 ล้านบาทต่อปี ,กลไกประกันสุขภาพภาคสมัครใจ Top up จากสิทธิประโยชน์เดิม 16,000 ล้านบาท,ประกันนักท่องเที่ยว 40,000 ล้านบาท และประกันแรงงาน และคนต่างด้าว 10,000 ล้านบาท
ด้านนโยบายสร้าง Productivity นั้น
1.One Province,One Region,One Country ,One Hospital ด้วยการเพิ่มอัตราครองเตียงทุก รพ. มีศูนย์ความเป็นเลิศ 1 แห่งต่อเขต
2.รายได้บุคลากรนอกเวลางานปกติ ภายใต้นโยบาย "1 คน 2 Job"
3. การเปิด Premium Clinics การใช้ห้องผ่าตัดผู้ป่วยใน (IP) ให้บริการ 24 ชั่วโมง การเปิดตลาดบริการผู้ป่วยนอก (OP) นอกหน่วยบริการ เช่น ในห้างสรรพสินค้า
4.รพ.เสมือน ผ่านเทเลเมดิซีนครบวงจร เอไอแชต เป็นต้น
5.บริหารต้นทุนผ่าน Technology และ Data Drive รวมถึงการใช้ระบบ ABC (Activity Base Costing) และ FDH Smart Check
6.สนับสนุนเศรษฐกิจสุขภาพ
ความร่วมมือของ สปสช.ในปี 2569
ด้านนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีย์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า ความร่วมมือในปี 2569 คือ เสริมแรงกลไกการทำงานกับหน่วยบริการทุกระดับ ,ผนึกกำลังดูแลเมืองหลวง ร่วมกับ กทม. และสธ. ,สนับสนุนการใช้ข้อมูล เชื่อมข้อมูล คืนข้อมูล และเผยแพร่ให้หน่วยบริการ และประชาชน และแยกข้อมูลค่าตอบแทนรายหน่วยบริการ ,นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ล้างไตฟรีทุกแห่ง และร่วมกับท้องถิ่นขับเคลื่อนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยขยายกองทุนจังหวัด ปรับระบบLong Term Care สร้างซูเปอร์ Care Giver
“ระบบมีปัญหามาโดยตลอด แต่เชื่อว่าแก้ไขได้ ซึ่งแนวทางแก้ปัญหาในปี 2569 โดยหลักจะปรับทัศนะในการร่วมทำงานกับ สธ.ที่เป็นเจ้าใหญ่ที่สุดที่ สปสช.ต้องทำงานด้วย โดยปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เพราะไม่ค่อยได้หารือกัน จากนี้ก็จะหารือ พูดคุยกันมากขึ้น ตั้งแต่ระดับพื้นที่” นพ.จเด็จกล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







