เปิดตลาด S&P 500 ดิ่งลง 4% ดาวโจนส์ร่วง 1,500 จุด ภาษีทรัมป์ฉุดหุ้น

เปิดตลาด S&P 500 ดิ่งลง 4% ดาวโจนส์ร่วง 1,500 จุด  ภาษีทรัมป์ฉุดหุ้น

ดาวโจนส์ร่วง 1,500 จุด S&P 500 ดิ่ง 4% ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงหนักจากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของทรัมป์ นักลงทุนเทขายหุ้นหนีไปตลาดพันธบัตร หวั่นเศรษฐกิจสหร้ฐถดถอด สงครามการค้า

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า เปิดตลาดวอลล์สตรีทวันพฤหัสบดี (3 เม.ย.) นักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นสหรัฐ  ส่งผลให้ดัชนี S&P 500กลับสู่เขตการปรับฐานอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เปิดเผยการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ 10% และอัตราสูงกว่านั้นมากสำหรับหลายประเทศ ส่งผลให้เสี่ยงเกิดสงครามการค้าโลกที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯซึ่งกำลังมีปัญหาอยู่แล้ว

ดัชนี S&P 500 ซึ่งสะท้อนตลาดโดยรวมร่วงลงรุนแรง 4% ทำให้ดัชนีกำลังเข้าสู่วันที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2022 ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ร่วงลง 1,500 จุด หรือ 3.5%

ในขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ดิ่งลงลึกถึง 5% การร่วงลงของหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กนั้นเป็นไปในวงกว้างมาก โดยหุ้นที่ร่วงลงมีมากกว่าหุ้นที่ขยับขึ้นถึง 6 ต่อ 1

เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เปิดเผยการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ 10%  หรืออัตราสูงกว่านั้นมากสำหรับหลายประเทศ เช่นสินค้าของไทยจะถูกเก็บภาษี 37 % หรือจีนบวกเพิ่ม 34 % กับภาษีเดิมอีก 20% ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อสงครามการค้าโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้ว

ราคาหุ้นของบริษัทข้ามชาติร่วงลง โดยหุ้น Nike และ Apple ลดลง 12% และ 8% ตามลำดับ ผู้ค้ารายใหญ่ที่นำเข้าสินค้ามาขายเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยหุ้น Five Below ดิ่งลงหนักถึง 29%, Dollar Tree ร่วง 8% และ Gap หัวทิ่มลง 22%

หุ้นเทคโนโลยีร่วงลงจากอารมณ์ของนักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยง โดยหุ้น Nvidia ร่วงลง 6% และ Tesla ก็ร่วง 6%

ทำเนียบขาวเปิดเผยอัตราภาษีพื้นฐาน หรืออัตราภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับทุกประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน รัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีที่สูงกว่านั้นสำหรับประเทศที่เรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงจากสินค้าสหรัฐฯ  อัตราหลังนี้จะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“เราจะเรียกเก็บภาษีจากพวกเขาประมาณครึ่งหนึ่งของอัตราที่พวกเขาเรียกเก็บและเคยเรียกเก็บจากเรา” ทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวที่สวนกุหลาบในทำเนียบขาว (White House Rose Garden) “ดังนั้น ภาษีจะไม่เป็นไปในลักษณะตอบโต้กันเต็มจำนวน”

ตัวเลขที่ลดลงครึ่งหนึ่งนี้รวมถึง “อัตราภาษีรวมทั้งหมด อุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ตัวเงิน และรูปแบบอื่นๆของการโกง” ทรัมป์กล่าว

อัตราภาษีเหล่านี้จะสูงกว่าที่นักลงทุนคาดไว้สำหรับหลายประเทศ ตัวอย่างเช่น อัตราภาษีศุลกากรที่มีผลบังคับใช้สำหรับจีนจะอยู่ที่ 54% เมื่อคิดรวมอัตราภาษีตอบโต้ใหม่และภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บกับประเทศก่อนหน้านี้แล้ว 

ขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่าอัตราภาษี 10- 20% จะเป็นอัตราสูงสุดที่ใช้กับทุกประเทศ ไม่ใช่ภาษีขั้นต่ำ

“นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับภาษีศุลกากร และ [อัตราภาษีศุลกากรนี้] ไม่ได้ถูกตลาดคาดการณ์ไว้ จึงทำให้เราเห็นปฏิกิริยาของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าว” แมรี แอน บาร์เทลส์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทบริหารความมั่งคั่ง Sanctuary Wealth กล่าว “คำถามใหญ่คือ ดัชนี S&P 500 จะสามารถรักษาระดับ 5,500 จุดไว้ได้หรือไม่ หากยันไว้ไม่ได้ เราอาจเห็นดัชนีลงต่ออีก 5-10% ซึ่งอาจไปที่จุดต่ำสุดที่ 5,200-5,400 จุด”

  • นักลงทุนหนีไปหลบภัยในตลาพันธบัตร

นักลงทุนหันมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในการแสวงหาความปลอดภัย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานลดลง 17 เบซิสพอยท์มาอยู่ที่ 4.021% ขณะที่สกุลเงินทั่วโลกรวมถึงเยนและเงินยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวันที่สามในวันพุธ เนื่องจากมีความหวังว่าทรัมป์จะไม่ประกาศแผนภาษีที่เข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อที่ตึงตัวอยู่แล้วสูงขึ้น

ดัชนีนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยปรับตัวลดลงสู่ระดับการปรับฐาน หรือลดลง 10% จากระดับสูงสุด เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการประกาศมาตรการภาษีของทรัมป์อย่างต่อเนื่อง ความไม่แน่นอนนี้เริ่มปรากฏให้เห็นในข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งยิ่งกดดันหุ้นโดยเพิ่มความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย

แลร์รี เทนทาเรลลี หัวหน้านักกลยุทธ์ทางเทคนิคของบริษัทวิจัย Blue Chip Trend Report กล่าวว่า "หากทรัมป์เสนอขึ้นอัตราภาษีเพียง 10% ผมคิดว่าตอนนี้ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นมากทีเดียว" “แต่เนื่องจากภาษีนำเข้าสูงเกินกว่าที่หลายๆ คนคาดไว้ ผมคิดว่าจะทำให้เกิดความผันผวนไปทางขาลงเพิ่มมากขึ้นในตอนนี้”

หากคำนวณการร่วงลงในช่วงหลังเวลาทำการของวันพุธ ดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงอีกครั้งในช่วงชั่วโมงทำการปกติของวันพฤหัสบดี ในขณะเดียวกันก็กลับไปอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน