GULF กำไร Q1/67 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9.1% อัตราแลกเปลี่ยนกดดัน

GULF กำไร Q1/67 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9.1% อัตราแลกเปลี่ยนกดดัน

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เผย กำไร Q1/67 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมี ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิกดดัน 593 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมทำได้ 32,280 ล้านบาท เพิ่ม 19.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า รายได้รวมไตรมาส 1 สิ้นสุด 31 มี.ค.2567 บริษัท มีรายได้รวม 32,280 ล้านบาท เพิ่ม 19.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ (ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) เท่ากับ 3,499 ลดลง 9.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

GULF กำไร Q1/67 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9.1% อัตราแลกเปลี่ยนกดดัน
รายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจใน Q1/2567 อยู่ที่ 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 YoY และเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 QoQ ประกอบไปด้วย

รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 28,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 YoY ปัจจัยหลักจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโครงการ GPD หน่วยที่ 1-2 ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในระหว่างปี 2566 นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 QoQ จากโรงไฟฟ้า GSRC และ GPD ที่มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งค่า Ft ปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.2048 บาทหน่วยใน Q4/2566 เป็น 0.3972 บาท/หน่วยใน Q1/2567 จึงทำให้ราคาขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเฉลี่ยต่อหน่วยปรับเพิ่มขึ้นด้วย

2) รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 889 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.5 YoY สาเหตุหลักมาจากโครงการ MKW ที่เปิดดำเนินการครบทุกหน่วยการผลิตในช่วง Q3/2566 และรายได้จากการจำหน่ายแผงพลังงานแสงอาทิตย์ของ GULF1 นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 QoQ จากการจำหน่ายแผงพลังงานแสงอาทิตย์ของ GULF1 ที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับรายได้ของโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG ที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับค่า Ft ขายส่ง

3) รายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคอยู่ที่ 1,133 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 68.2 YoY และร้อยละ 29.8 QoQ จากความคืบหน้าที่มากขึ้นของงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม MTP3 ในส่วนของงานถมทะเลรายได้จากธุรกิจดาวเทียม อยู่ที่ 609 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17.2 YoY และร้อยละ 3.3 QoQ เป็นผลจากการให้บริการแก่ลูกค้าไทยคม 4 ที่ลดลงตามสัญญา ประกอบกับใน Q1/2566 มีรับรู้ค่าจ้างที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการบริหารจัดการสถานีภาคพื้นดินให้กับโครงการ Globalstar 

ส่วนแบ่งกำไร core proft จากบริษัทร่วม และการร่วมค้า ใน Q1/2567 อยู่ที่ 2,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.5 YoY โดยได้รับส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก INTUCH รวมทั้งต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงช่วยสนับสนุนกำไรของโรงไฟฟ้า 7SPPs ภายใต้กลุ่ม GJP และ PTT NGD ให้ปรับตัวดีขึ้นประกอบกับโรงไฟฟ้า BKR2 ผลิตไฟได้มากขึ้นจากความเร็วลมที่ดีขึ้น และโรงไฟฟ้า DIPWP มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำจืดที่มากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ส่วนแบ่งกำไร core profit จากบริษัทร่วม และการร่วมค้า ลดลงร้อยละ 17.3 Q0Q ส่วนใหญ่เป็นผลจาก INTUCH ที่มีส่วนแบ่งกำไรลดลงเนื่องจากใน Q4/2566 มีบันทึกกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว และกำไรของ GGC อ่อนตัวลงจากความเร็วลมในพื้นที่ปรับตัวลดลง

กำไรจากการดำเนินงาน (core profit) ใน Q1/2567 เท่ากับ 4,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 YoY เหตุผลหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 1-2 รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม และการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ core profit ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.6 QoQ จากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม และการร่วมค้า อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC และ GPD ที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้ core profit โดยรวมปรับลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้ ใน Q1/2567 บริษัท บันทึกผลขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนที่กระทบบริษัทใหญ่และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ของบริษัทร่วม และการร่วมค้า รวมเป็นผลขาดทุนสุทธิ 653 ล้านบาท เทียบกับ Q1/2566 และ Q4/2566 ที่มีกำไรจากรายการดังกล่าว 183 ล้านบาท และ 545 ล้านบาท ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม เฉพาะตัวขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเปลี่ยนที่กระทบส่วนของบริษัทใหญ่จะเท่ากับ 593 ล้านบาท
GULF กำไร Q1/67 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9.1% อัตราแลกเปลี่ยนกดดัน  
จึงส่งผลให้ กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ใน Q1/2567 เท่ากับ 3,499 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.1 YoY และลดลงร้อยละ 26.5 QoQ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์