หุ้น TKN บวกเฉียด 4% คาดรายได้ปีนี้โตเพิ่มอีก 15% หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว

หุ้น TKN บวกเฉียด 4% คาดรายได้ปีนี้โตเพิ่มอีก 15% หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว

หุ้น TKN ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.96% หรือราคาเพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 10.50 บาท "นักวิเคราะห์" ระบุ คาดรายได้ปีนี้โตกว่าปีก่อนหน้า หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว

KEY

POINTS

  • หุ้น TKN  ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.96% หรือราคาเพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 10.50 บาท 
  • บล. ฟินันเซีย ไซรัส ระบุ คาดรายได้จะสามารถเติบโตได้ดีขึ้น จากปีที่ผ่านมา บวกกับเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว
  • TKN เผย เผยแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายรวมไว้ที่ไม่น้อยกว่า 15% จากปีก่อน

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 13 มี.ค.2567 หุ้น TKN หรือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.96% หรือราคาเพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 10.50 บาท 

วีระวัฒน์  วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล. ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ปี 2567 คาดว่ารายได้จะสามารถเติบโตได้ดีขึ้น จากปีที่ผ่านมา บวกกับเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว โดยแนะนำนักลงทุนว่า หากไม่หลุด 10 บาท น่าจะมีลุ้นการฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อีก แนวต้านอยู่ที่ประมาณ 10.7 บาท และยังลุ้นราคาไปที่ 11.5 - 12 บาท ได้ แต่เป็นลักษณะของการเทรดดิ้ง

หุ้น TKN บวกเฉียด 4% คาดรายได้ปีนี้โตเพิ่มอีก 15% หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว

ด้านจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล  กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายรวมไว้ที่ไม่น้อยกว่า 15% จากปีก่อน โดยแรงขับเคลื่อนหลักๆ เป็นผลมาจากการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ยังมองหาโอกาสในการขยายตลาดไปยัง ทวีปยุโรป อาทิ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ รวมถึงการขยายไปสู่ตลาดเกาหลีมากขึ้นจากเดิมเป็นการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่าย

มองว่าในปี 2567 สภาพตลาดสแน็กได้กลับมาดีขึ้นมาก เนื่องจากเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคทุกประเทศทั่วโลกมองหาสแน็กที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งสาหร่ายก็ถูกจัดอยู่ในส่วนนี้ด้วย ทำให้บริษัทมีโอกาสที่เปิดกว้างในด้านการตลาด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดี โดยในการขยายฐานลูกค้าในประเทศใหม่ๆ บริษัทยังคงวางกลยุทธ์นำผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ในปัจจุบันไปทำการตลาด ขณะที่ตลาดในเมืองไทยจะมีการเน้นขายผ่านเทรดดิชั่นนอลเทรด มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีการขายในตลาดโมเดิร์นเทรด โดยจะมีการการเพิ่มจำนวนดิสทริบิวเตอร์ให้มากขึ้น
 

นอกจากนี้ บริษัทยังมองว่าจะได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ไทยกลับมาเปิดประเทศนับตั้งแต่ปลายปีก่อน รวมถึงจากมาตรการฟรีวีซ่าจีนถาวร ส่งผลให้ภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศไทยกลับมามีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ชาวจีนเดินทางกลับเข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ส่งผลให้คาดว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 1/2567 ของบริษัทให้มีการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

ปัจจุบันโครงสร้างยอดขายบริษัทแบ่งออกเป็น ยอดขายจากการส่งออกสัดส่วนประมาณ 60-65% ที่เหลืออีกราว 35-40% เป็นยอดขายภายในประเทศ โดยแม้ว่าบริษัทจะมีการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม แต่คาดว่าทั้งปีจะรักษาสัดส่วนยอดขายไว้เช่นนี้ได้ต่อไป เพราะตลาดในประเทศเองก็มีแนวโน้มการกลับมาเติบโตที่ดีเช่นเดียวกัน

พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของสุขภาพใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม เช่น สาหร่ายรสชาติใหม่หรือสาหร่ายประเภทอื่นๆ มากขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักๆ ยังคงเป้นกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยทำงานขั้นต้น และกลุ่มที่มีอายุ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์สาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" ยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดสาหร่ายอันดับ 1 ในทุกๆ กลุ่ม ทั้ง ทอด อบ ย่าง ปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์ของบริษัทอยู่ระดับที่ 65% นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์สาหร่ายให้มีรสชาติที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

ขณะเดียวกันบริษัทได้ขยายธุรกิจของบริษัทในเครือ คือ บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด (TKNRF) โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตร "ร้าน 71 หมูกระทะ" ขยายสาขาร้านอาหารภายใต้โมเดลแฟรนไชส์ เปิดร้าน 71 หมูกระทะแห่งแรกที่เป็นสาขาแฟรนไชส์ในทำเลย่านบรรทัดทอง ซึ่งได้รับผลตอบรับดีจากผู้บริโภค และเตรียมพร้อมศึกษาการเปิดสาขาเพิ่มเติม 2-3 สาขาในปี  2567 นี้

ส่วนต้นทุนสาหร่ายในปี 2567 ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่มีโอกาสเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการประมาณการตัวเลขไว้บ้างแล้วเพื่อรองรับความเสี่ยง และต้องรอดูหลังจากตรุษจีนว่า ต้นทุนสาหร่ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร โดยงบลงทุนในปี 2567 เบื้องต้นวางไว้ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาท ใช้เพื่อปรับปรุงการผลิต เพิ่มกำลังการผลิต และลงทุนด้านไอที เป็นต้น