‘SCBX’ กำเงินสด 8 แสนล้าน สร้างโอกาสเติบโตก้าวกระโดด ‘ซื้อ - ควบรวม’

‘SCBX’ กำเงินสด 8 แสนล้าน  สร้างโอกาสเติบโตก้าวกระโดด ‘ซื้อ - ควบรวม’

“เอสซีบี เอกซ์” เผย มีเงินสด 8 แสนล้าน เล็งหาโอกาสโตก้าวกระโดด 1 - 2 ปี “ซื้อ-ควบรวมกิจการ” พร้อมขยายตลาดไปอาเซียน วางเป้าปีนี้รายได้ - กำไรโตอย่างน้อย 10%  เดินแผน 3 ปี หวังธุรกิจเจน 2 มีสัดส่วนกำไร 10 - 15% ของทั้งกลุ่ม แจงราคาหุ้นย่ำกับที่

หลังธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ไปสู่ “ยานแม่” พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB  เป็นHolding company ของกลุ่มมาแล้วช่วงตลอด 1 ปีมานี้  และยังคงมองหาโอกาสในการเติบโตต่อเนื่อง 

นายมาณพ เสงี่ยมบุตร Chief financial officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือสูงมากราว 800,000 ล้านบาท มีเงินกองทุนความเพียงพอเงินกองทุนรวมกว่า 19% และอัตราส่วนความเสี่ยงของเงินกองทุนขั้นที่ 1 ในส่วนผู้ถือหุ้นสูงกว่า 18% ถือว่าสูงสุดเมื่อเทียบธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ด้วยกัน สะท้อนโอกาสบริษัทจะสร้างการเติบโตก้าวกระโดดมากกว่าปัจจุบัน

เป้าหมายการเติบโตของ SCBX ปี2566 และระยะกลาง 3 ปี

 

 โดยวางเป้าหมายใน 1-2 ปีข้างหน้า มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจใหม่ ซึ่งธุรกิจใหม่จะต้องมีศักยภาพในการเติบโต เพิ่มผลตอบแทนนักลงทุน ด้วยรูปแบบการเฟ้นหาโอกาสในการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ต้องเป็นกิจการที่ซื้อแล้วมีกำไรเข้ามาทันที ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจที่ขาดทุน และไม่ซื้อกิจการธนาคารพาณิชย์ แต่จะมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่จับต้องได้ เช่น ธุรกิจสินเชื่อ หรือแพลตฟอร์ม เป็นหลัก และมองหาโอกาสขยายตลาดอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย , เวียดนาม เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างฐานลูกค้าเพิ่มเท่าตัว 

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 มั่นใจว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากแนวคิดโครงสร้างธุรกิจชัดเจน และรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมยังมีความท้าทายอยู่ ขณะเดียวกัน ยังบริหารจัดการควบคุมต้นทุนเข้มข้น ทำให้สามารถรักษาระดับการทำกำไรไว้ได้ ซึ่งในปี 2566 ตั้งเป้ารายได้ และกำไรโตอย่างน้อย 10% 

"ปีนี้จะไม่มีต้นทุนจากการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้มีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีต้นทุนการปรับโครงสร้าง ทำให้มีกำไรสุทธิอยูู่ที่ 37,000 ล้านบาท แต่หากไม่รวมต้นทุนจากการปรับโครงสร้าง ปี 2565 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทมีการปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนมีประสิทธิภาพดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ไตรมาส 1 ปีนี้ ลดลงมาต่ำกว่าระดับ 40% แล้วจากสิ้นปีก่อนที่ 41% ดังนั้น จะพยายามรักษาระดับสัดส่วนดังกล่าวไว้ต่ำกว่า 40% ในระยะกลางนี้"

นายมาณพ กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจ 3 ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตจากธุรกิจใหม่ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น ภายใต้ธุรกิจ Gen2 (บริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภคและดิจิทัล)คาดว่าจะมีสัดส่วนกำไรคิดเป็น 10-15% ของกำไรทั้งกลุ่ม  ส่วนธุรกิจGen3 (แพลตฟอร์มและสินทรัพย์ดิจิทัล) คาดผลขาดทุนจะค่อยๆ ลดลง จนเข้าสู่จุดคุ้มทุนภายในปี 2569 โดยแฟลตฟอร์มโรบินฮูดจะเริ่มทำกำไรได้ในอีก 3-4 ปี   

สำหรับธุรกิจ Gen1 คือ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารไทยพาณิชย์)มีความสำคัญที่สุด ยังให้ผลประกอบการ และกำไรสูงสุด ในปีก่อนให้กำไรสุทธิสัดส่วน 100% ของกลุ่มทั้งหมด และในระยะกลาง ยังเติบโตกำไรมั่นคงสม่ำเสมอ ไม่เน้นเติบโตสินเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเติบโตควบคู่กับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ดีขึ้น  

 ส่วนกรณีคำถามว่าหุ้น SCB มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหนนั้น  ส่วนตัวมองว่านักลงทุนอาจมีความกังวลคุณภาพสินเชื่อแบงก์ที่มีพอร์ตลูกหนี้มาตรการสีฟ้าที่ปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท .) ขอชี้แจ้งว่าปัจจุบันมีการให้สินเชื่อดังกล่าวราว 280,000 ล้านบาท คิดเป็น 12% ของสินเชื่อรวมที่ 2.3-2.4  ล้านล้านบาท โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่มากกว่า 50% เป็นธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งโรงแรมและเอสเอ็มอีไม่มีความเสี่ยงในอนาคต อาจจะมีความเสี่ยงบ้างในกลุ่มรายย่อย โดยธนาคารได้ประเมินความเสี่ยง และมีการตั้งสำรองหนี้ฯ ไว้เพียงพอแล้ว 

นอกจากนี้ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลผันผวน ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้มีการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์ หรือธุรกิจเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีโดยตรง แต่จะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล สร้างขีดความสามารถจากเทคโนโลยีที่อยู่รอบๆ เกี่ยวกับดีเซนทัลไลท์ไฟแนนซ์ แต่ตอนนี้ไม่ได้เน้นเติบโตตรงนี้ จากตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก และบริษัทได้ยกเลิกซื้อ "บิทคับ" แบบถาวร เพราะภาวะตลาดเปลี่ยนไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์