ตลท.ชี้ ปี65 บจ.จ่ายภาษีนิติบุคคล 3.7 แสนล. ยันตลาดทุนช่วยรัฐเก็บภาษี

ตลท.ชี้ ปี65 บจ.จ่ายภาษีนิติบุคคล 3.7 แสนล. ยันตลาดทุนช่วยรัฐเก็บภาษี

ตลท. เผย ปี65 บจ.จ่ายภาษีนิติบุคคล 3.7 แสนล้านสูงสุดเป็นประวัติการณ์ -ยังเสียอื่นๆ "ภาษีอากร - ภาษีหักณที่จ่าย-ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการจ้างงานของบริษัทจดทะเบียน ชี้ ตลาดทุนช่วยรัฐเก็บภาษีสูงขึ้น

Key point:

  • ปี 2565 บริษัทจดทะเบียนไทย 813 บริษัท จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยมูลค่ารวมกว่า 375,000 ล้านบาท คิดเป็น 50.2% ของภาษีนิติบุคคลที่กรมสรรพากรจัดเก็บทั้งหมดในปี 2565
  • กลไกการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วยให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น  ในช่วง 3 ปีหลังจากเข้าจดทะเบียนซื้อขายฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 เท่าเมื่อเทียบกับในช่วง 3 ปีก่อนเข้าจดทะเบียนฯ จากความสามารถในการสร้างรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นและความโปร่งใสในการทำบัญชีที่เพิ่มมากขึ้น
  • นอกจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ภาครัฐจัดเก็บจากบริษัทจดทะเบียนแล้ว บริษัทจดทะเบียนยังมีการจ่ายภาษีในรูปแบบต่างๆอาทิ ภาษีอากร , ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย ที่หักจากนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อมีการจ่ายปันผล

 

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 - 2565) รัฐบาลไทยจัดเก็บภาษีสุทธิหลังหักการจัดสรรแล้วเฉลี่ยปีละ 2.37 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่ประมาณ 80% จัดเก็บโดยกรมสรรพากร และกว่า 631,000 ล้านบาทเป็นการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล

 โดยในปี 2565 บริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหุ้นไทยมีรายได้รวมกว่า 18.52 ล้านล้านบาท (ภาพที่ 3) เพิ่มขึ้นกว่า 33.6% จากปี 2564 และเมื่อเปรียบเทียบกับ nominal GDP ไทย พบว่า รายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยคิดเป็น 107% ของ nominal GDP  และมีกำไรสุทธิรวมกว่า 981 ล้านบาทปี 2565 

 ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนสูง โดยในปี 2565 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดในประวัติศาสตร์รวมกว่า 375,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50.2% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดที่กรมสรรพากรจัดเก็บ

ตลท.ชี้ ปี65 บจ.จ่ายภาษีนิติบุคคล 3.7 แสนล. ยันตลาดทุนช่วยรัฐเก็บภาษี

    จากการศึกษาการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยกับการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศไทยในฐานะผู้เสียภาษี เมื่อพิจารณาจากการจ่ายภาษีของบริษัทจดทะเบียนไทยที่เปิดเผยในงบการเงินรวม (Consolidation Financial Statement)  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 - 2565) พบว่า 

•    บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จ่ายภาษีให้แก่หน่วยงานจัดเก็บภาษีของภาครัฐในหลายหน่วยงาน
•    มูลค่าภาษีส่วนใหญ่ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจ่าย เป็นการจ่ายให้กรมสรรพากร ซึ่งประกอบด้วย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรต่างๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในการศึกษานี้พิจารณาเฉพาะในส่วนของมูลค่าของภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) ที่บริษัท จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเปิดเผยไว้อย่างชัดเจนในงบการเงินเท่านั้น

จากการศึกษาพบว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีการจ่าย “ภาษีเงินได้นิติบุคคล” ให้กรมสรรพากรในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 - 2565)  ตามภาพที่ 5 รวมกว่า 2.32 ล้านล้านบาท โดยมูลค่าภาษีที่จ่ายหรือนำส่งมีความผันผวนตามผลประกอบการที่อาจผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และในปี 2565 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยมีมูลค่ารวมกว่า 375,021 ล้านบาท ท่ามกลางการฟื้นตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19

เมื่อเทียบกับภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดที่บริษัทจดทะเบียนจ่ายกับมูลค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดหรือทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บ ตามภาพที่ 6 พบว่า ในปี 2565 กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยมูลค่ารวมกว่า 747,000 ล้านบาท และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงถึง 50.2% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดที่กรมสรรพากรจัดเก็บ 

กลไกการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ช่วยให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จากมูลค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทจดทะเบียนนำส่งกรมสรรพากรในช่วง 3 ปีหลังจากเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 เท่าเมื่อเทียบกับในช่วง 3 ปีก่อนเข้าจดทะเบียนฯ

นอกจากภาพรวมของจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดหุ้นไทยตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ศึกษาเปรียบเทียบมูลค่ารวมของการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียน 3 ปีหลังเข้าจดทะเบียน และ 3 ปีก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (จากงบการเงิน 7 ปี) ของบริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทที่เข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO Companies) ในช่วงปี 2556 - 2561 รวม 176 บริษัท

หลังจากบริษัทจดทะเบียนเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในมูลค่าที่สูงขึ้น โดยมูลค่ารวมของภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปีหลังจดทะเบียนเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 เท่าเมื่อเทียบกับมูลค่ารวมของภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปีก่อนจดทะเบียน ซึ่งอาจกล่าวได้ชัดเจนว่า “กลไกการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย มีส่วนช่วยให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น”

นอกจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ภาครัฐจัดเก็บจากบริษัทจดทะเบียนแล้ว บริษัทจดทะเบียนยังมีการจ่ายภาษีในรูปแบบต่างๆ และยังไม่นับรวมถึงภาษีต่างๆ ที่ผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทยได้จ่ายภาษีให้ภาครัฐ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ผู้มีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทยมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศผ่านการมีส่วนร่วมในการจ่ายภาษี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างรายได้ให้ภาครัฐ

จากระบบนิเวศของตลาดหุ้นไทยที่มีผู้มีส่วนร่วมหลากหลาย อาทิ บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทตรวจสอบบัญชี กองทุนต่างๆ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ล้วนต่างเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งจากการศึกษาข้างต้น เป็นเพียงการพิจารณาบทบาทของผู้มีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยผ่านการมีส่วนร่วมในการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุม

  • ภาษีอื่นๆ ที่จ่ายโดยบริษัทจดเบียน อาทิ ภาษีอื่นๆ รวมทั้งอากร ที่บริษัทจดทะเบียนมีการจ่ายรวมกว่า 277,000 ล้านบาท ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 - 2565) 
  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และภาษีอื่นๆ นอกเหนือจากภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด
  • ภาษีต่างๆ ที่จ่ายโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทตรวจสอบบัญชี กองทุนต่างๆ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้ให้บริการต่างๆ ในตลาดหุ้นไทย
  • ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการใช้สินค้าและบริการของผู้มีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทย ตลอดจนภาษีต่างๆ ของห่วงโซ่อุปทานของผู้มีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ในรายงาน “SET Note ฉบับที่ 2/2566 เรื่อง บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai จ้างงานเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการผ่อนคลายมาตรการ COVID-19 ได้เปิดเผยเกี่ยวกับบทบาทของบริษัทจดทะเบียนในการจ้างงาน ซึ่งพบว่า ในปี 2564 มีการจ้างงานรวมกว่า 1.74 ล้านคน และประมาณการการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของพนักงานทั้งหมดที่บริษัทจดทะเบียนจ้างงานมีมูลค่าสูงถึง 80,325 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 24% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมดที่สรรพากรจัดเก็บในปี 2564

ในส่วนของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อพิจารณาจากภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุน และมีการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 - 2565) รวมกว่า 249,000 ล้านบาท

โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า “ตลาดหุ้นไทย” มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมในฐานะผู้มีหน้าที่จ่ายภาษีให้แก่รัฐบาล และจ่ายในสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับมูลค่าภาษีทั้งระบบ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า “ตลาดหุ้นไทย” เป็นหนึ่งในห่านทองคำของประเทศไทย