กองทุนดัชนี แคธี วูด ผลตอบแทนแพ้ ‘แนสแด็ก’ เหตุชิงขายหุ้น Nvidia เมื่อต้นปี
กองทุนดัชนีฯ ซึ่งลงทุนสอดคล้องไปกับดัชนีแนสแด็ก ของ “แคธี วูด” เคลื่อนไหวต่ำกว่าดัชนีฯ จริง เหตุ วูด ลดการลงทุนในหุ้น Nvidia ลงตั้งแต่ ม.ค. 66 กูรูชี้ ความเสียหายจากการคาดการณ์ผิดครั้งนี้จะทำให้ชื่อเสียงของเธอแย่ลง
Key Points
- กองทุนดัชนีฯ ซึ่งลงทุนสอดคล้องไปกับดัชนีแนสแด็ก ของ “แคธี วูด” อันเดอร์เพอร์ฟอร์มดัชนีจริง
- แคธี วูดขายหุ้น Nvidia ทิ้งตั้งแต่ต้นปี
- เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้วูดเสียชื่อเสียง
ชูลี เหริน (Shuli Ren) คอลัมนิสต์ด้านตลาดหุ้นเอเชียของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) แสดงความคิดเห็นผ่านบทความ “Even Cathie Wood Can’t Spot the Next Bull Market” วันนี้ (30 พ.ค.) ว่า
หากประเมินจากหลายเหตุการณ์ในตลาดหุ้นที่ผ่านมา “แคธี วูด” (Cathie Wood) น่าจะเป็นบุคคลที่คอยชี้ให้บรรดานักลงทุนเห็นถึงแนวโน้มบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ของโลก ซึ่งอาจเปลี่ยนเม็ดเงินดอลลาร์ในกระเป๋าของคุณให้เป็นเงินล้านได้ แต่จากเหตุการณ์ไม่นานมานี้ ต้องยอมรับว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”
โดยการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้น เอ็นวิเดีย (Nvidia) ช่วงข้ามคืน ส่งผลให้วูด ผู้ก่อตั้ง เออาร์เค อินเวสเม้นท์ แมเนจเม้นท์ (Ark Investment Management) ต้องออกมาแก้ต่างการตัดสินใจเทขายหุ้นบริษัทเทคโนโลยีดังกล่าวออกไปเมื่อเดือน ม.ค. และหากคำนวณเป็นตัวเลขวูด สูญเสียโอกาสในการสร้างกำไรจากการที่หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นสูงกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 19.8 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ ส่งผลต่อเนื่องให้กองทุนดัชนีฯ วูด เคลื่อนไหวต่ำกว่า (Underperform) ดัชนี ทั่วๆ ไป (Plain-vanilla Index Funds) ที่ลงทุนสอดคล้องกับดัชนีเเนสแด็ก
“เราแค่หันไปลงทุนในอีกกลุ่มธุรกิจหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่กระโดดเข้าไป” วูดกล่าว พร้อมเสริมว่า “เหมือนกับว่าหลายคนยังไม่เข้าใจว่า เอ็นวิเดียได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของเอไอ จริงๆ นะ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้” ทั้งนี้เธอยืนยันว่า หุ้นเอ็นวิเดียมีการประเมินคุณค่า (Valuation) อยู่ที่ 25 เท่าของยอดขายที่คาดว่าจะได้รับ ดังนั้นเธอจึงสนใจหุ้น ยูไอแพธ (UiPath) ซึ่งซื้อขายอยู่ที่เพียง 6 เท่ามากกว่า
บทวิเคราะห์ของเหริน ประเมินว่า ค่อนข้างน่าสนใจว่า วูดเริ่มวิจารณ์เกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเธอหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนต่อในอดีตโดยเธอมีราคาเป้าหมายสำหรับหุ้นเทสล่า (Tesla) อยู่ที่ 3 พันดอลลาร์(ประมาณ 9.9 หมื่นบาท)และยังยึดมั่นกับการคาดการณ์ว่าราคาบิตคอยน์จะแตะ 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 33 ล้านบาท) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่า วูดสามารถตามล่า “ขุมทรัพย์” ของเธอต่อไปได้ แต่ในฐานะผู้จัดการพอร์ตการลงทุน เธอควรรู้ว่า "เศรษฐกิจภาพใหญ่" มีความสําคัญ และในความเป็นจริง ช่วงแรกของการระบาดของโควิด-19 กองทุนเออาร์เค ก็เป็นกองทุนที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล รวมทั้ง มาตรการอัดฉีดเงิน (QE) ของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต่างทําให้ผู้บริโภคตรวจสอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และกระตุ้นความกระหายในหุ้นซึ่งมีการเติบโตสูง แบบที่กองทุนเออาร์เคของวูดชอบ
“การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการเคลื่อนไหวที่สมเหตุสมผล ด้วยต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นโดยเฉลี่ยสูงถึง 8.5% ดังนั้นธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถปรับขนาดเข้าไปในเอไอ ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าพวกเขาจะมีความรู้ก็ตาม ดังนั้นบริษัทขนาดใหญ่ จากการเปรียบเทียบอํานาจทางการเงิน จะครองสนามการเล่นนี้” เจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nvidia กล่าวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่ผู้จัดการสินทรัพย์จะต้องเดิมพันว่าบรรดาหุ้นขนาดใหญ่ในพอร์ตจะปรับตัวสูงขึ้นโดยหวังว่าจะสามารถแปรสภาพเป็น บริษัทขนาดล้านล้านดอลลาร์ได้ การปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล่าสุดทําให้นักลงทุนที่คอยเก็บหุ้นขนาดเล็กตกขบวน
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก ระบุว่า บอกตามตรงว่าคำแก้ตัวของวูดค่อนข้างไม่น่าคล้อยตาม เธออาจค้นพบศักยภาพด้านเอไอของเอ็นวิเดีย ตั้งแต่ต้นปี 2014 และเข้าซื้อในราคา 5 ดอลลาร์ต่อหุ้น แต่ทําไมเธอถึงไม่ใช้ประโยชน์จากหุ้นดังกล่าวไปตลอดทางล่ะ? เธอไม่เข้าใจความนิยมและพลังของ ChatGPT หรือ?
ในบรรดานักลงทุนทุกคน วูดน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเอไอจะสามารถทำให้หุ้นเอ็นวิเดียปรับตัวสูงขึ้นอย่างร้อนแรงได้ เมื่อเทียบกับการขยับตัวของ เออาร์เค อินโนเวชั่น อีทีเอฟ (ARK Innovation ETF) หรือบิตคอยน์ วูดน่าจะทราบว่า ประสบการณ์จาก เอ็นวิเดีย เมื่อ 3 ปีที่แล้วนั้นไม่ธรรมดา และที่แน่ๆ ความผิดพลาดจากเอ็นวิเดียครั้งนี้จะทําให้ชื่อเสียงของเธอแย่ลง
อ้างอิง
1. Bloomberg