‘เครดิตบูโร‘ ผวาหนี้กำลังจะเสีย ทะลัก 4.9แสนล้าน ’รถ-บ้าน’ เบี้ยวหนี้พุ่ง

‘เครดิตบูโร‘ ผวาหนี้กำลังจะเสีย ทะลัก 4.9แสนล้าน ’รถ-บ้าน’ เบี้ยวหนี้พุ่ง

“เครดิตบูโร” เปิดหนี้เสียครัวเรือน พบไตรมาส3 เพิ่มต่อเนื่อง แตะ 1.05 แสนล้านบาท เสี่ยงตกชั้นเป็นเอ็นพีแอลอีก4.9 แสนล้าน จาก ลูกหนี้บ้าน-รถ เฉียด 3.5 แสนล้านบาท ห่วงหมดมาตรการช่วยเหลือธปท.ฉุดยอดปรับโครงสร้างหนี้วูบ หนุนเอ็นพีแอลทะลักต่อ

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวถึงภาพรวมหนี้สินครัวเรือนไทย ภายใต้ข้อมูลของเครดิตบูโรในไตรมาส 3 ปี 2566 ว่า ภายใต้ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่ในข้อมูลของเครดิตบูโรที่ 13.5 ล้านล้านบาทในนี้ เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล อยู่ที่ 1.05 ล้านล้านบาท หรือ 7.7% ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหากเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่หนี้เอ็นพีแอลรวมอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท 

ขณะที่หนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างปัจจุบันเพิ่มมาอยู่ที่ 9.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสที่ผ่านมาที่อยู่ระดับ 9.8 แสนล้านบาท ส่วนสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือหนี้ที่ค้างชำระแต่ไม่เกิน 90 วัน (SM)เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3.7% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้หากดูไส้ในของหนี้เอ็นพีแอล พบว่าหลักๆใน 1.05 ล้านล้านบาท มาจากสินเชื่อรถยนต์ ที่หนี้เสียเพิ่มขึ้น 2.07 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีหนี้เสียเพียง 1.7 แสนล้านบาท และเติบโตขึ้นราว 5.8 %จากไตรมาสก่อนหน้า หรือหากดูเป็นจำนวนรายบัญชี พบว่ามีหนี้เสีย จากสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้นมาเป็น 6.94 แสนบัญชี เพิ่มขึ้น 8.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

เช่นเดียวกับสินเชื่อบุคคล ที่มีจำนวนบัญชีที่เป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นมาเป็น 5.5 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 4.9 % หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีจำนวนบัญชีที่เป็นหนี้เสียเพียง 5.2 ล้านบัญชี
 

โดยกลุ่มที่เป็นหนี้เสียมากที่สุดพบว่า ยังมาจากกลุ่มเจนวายที่เป็นหนี้เสียอยู่ที่ 3.9 แสนล้านบาท หรือ 6.5% หากเทียบกับสินเชื่อเจนวายทั้งหมด ถัดมาคือ เจนเอ็กซ์ มีหนี้เสีย 2.8 แสนล้านบาท หรือ 6.9% เบบี้บูมเมอร์ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท เจนแซด 1.8 หมื่นล้านบาท

สินเชื่อบ้านส่อเป็นเอ็นพีแอล1.36แสนล้าน

นายสุรพล กล่าวว่า หากดูสินเชื่อที่กำลังจะเสีย หรือค้างชำระแต่ไม่เกิน 90วัน หรือ SM ปัจจุบันอยู่ที่ 4.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่เพียง 4 แสนล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นหลักๆมาจาก พอร์ตสินเชื่อบ้าน ที่มีหนี้กำลังจะเสียเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.36 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.2% จาก 9.9 หมื่นล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

และมีจำนวนบัญชีที่กำลังจะเสียเพิ่มขึ้นอีก 22.2% หรือ 105,461 บัญชี จาก 86,291 บัญชี ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้สินเชื่อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง ที่เป็นลูกหนี้แบงก์รัฐ ที่เริ่มเห็นสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น

ถัดมาคือ สินเชื่อรถยนต์ ที่มีหนี้ที่กำลังจะเสียเพิ่มขึ้น 17.5% หรือ 2.13แสนล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่เพียง 1.81 แสนล้านบาท ขณะที่จำนวนบัญชีที่กำลังจะเป็นหนี้เสียเพิ่มอยู่ที่ 560,427 ล้านบัญชี  หรือเพิ่มขึ้น 15% จาก 487,477 บัญชี  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งหากรวมหนี้ที่กำลังจะเสียจากทั้งสองกลุ่ม ทั้งสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถ พบว่าโดยรวมอยู่ที่เกือบ 3.5แสนล้านบาท

“การแก้หนี้เสียของรถยนต์ ต้องดูว่าการปรับโครงสร้างหนี้ทำได้เร็วแค่ไหน เพราะสินเชื่อรถยนต์ทำได้ยาก หากเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่นๆ เพราะรถยนต์ มีอายุ 4 ปี ทำให้ยากต่อการปรับโครงสร้างหนี้ เพราะหากยืดหนี้ออกไป มูลค่ารถจะลดลงต่อเนื่อง ดังนั้นปัญหาอยู่ที่การตีราคาต่างๆด้วย ทำให้สถาบันการเงินใช้วิธียึดรถหากค้างเกิน 3 เดือน”

ทั้งนี้หากดูกลุ่ม SM ที่มีโอกาสไหลไปเป็นหนี้เสีย (Migration rate housing loan) จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)พบว่า โอกาสไหลไปเป็นหนี้เสียของสินเชื่อบ้านอยู่ที่ 22% สินเชื่อรถ 12% สินเชื่อพีโลน 54% และสินเชื่อเครดิตการ์ด 57% นอกจากนี้ หากดูไส้ในของกลุ่ม SM เป็นหนี้ของกลุ่มแบงก์รัฐอยู่ที่ 68% หรือ 9.3 แสนล้านบาท

หนี้ปรับโครงสร้างจ่อทะลุ1ล้านล้าน

อย่างไรก็ตาม พบว่า หากรวมทั้งสองกลุ่ม ทั้งหนี้ที่เสียแล้ว 1.05 แสนล้านบาท และหนี้ที่กำลังจะเสีย หรือกลุ่ม SM อีก 4.9 แสนล้านบาท พบว่าโดยรวมมีหนี้ที่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น 11.4% หรือ 1.55 ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง ที่คาดว่า จะเห็นเพิ่มขึ้นทะลุระดับ 1 ล้านล้านบาทได้ในระยะข้างหน้า จากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ก่อนที่มาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือมาตรการฟ้า ส้ม จะหมดอายุในสิ้นปีนี้

นายสุรพล กล่าวว่า แนวโน้มหนี้เสียในระยะข้างหน้า เชื่อว่ายังมีทิศทางเพิ่มขั้นต่อเนื่อง และคงไม่เห็นต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านบาท ในระยะอันใกล้นี้ แต่จะไม่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด หรือระเบิด ส่วนหนึ่งมาจาก การที่สถาบันการเงิน เร่งปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือมาตรการฟ้าส้มของธปท. ที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้ ที่จะช่วยพยุงไม่ให้เห็นพีแอลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก ทำให้คาดว่า ในระยะข้างหน้า จะเห็นยอดปรับโครงสร้างหนี้ จะเพิ่มขึ้นทะลุ 1ล้านล้านบาทได้

“ประเด็นสำคัญต้องติดตามตัว Megration rate หรือหนี้ที่จะตกชั้นจากกลุ่ม SM ไปเป็นหนี้เสียมากน้อยแค่ไหน เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจอปัญหาอะไรเข้ามาอีก ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้ ตั้งแต่ไตราส 4 เป็นต้นไป และตัวที่ต้องติดตามการการปรับการผ่อนชำระขั้นต่ำเป็น 8% จาก 5% จะมีส่วนทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นได้ และอีกส่วนจะมาจากเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ที่เข้มงวดมากขึ้น จากมาตรการสีฟ้า สีส้มที่จะหมดอายุ เพราะต้องดูกระแสเงินสดต่างๆมากขึ้น ดังนั้นกลุ่มนี้หากไม่สามารถพิสูนจ์ตรงนี้ได้ ก็อาจถูกแช่แข็ง หรือตกไปเป็นหนี้เสียได้”

ห่วงลูกหนี้กลุ่มรหัส21ตกชั้นสูงถึง5.1ล้านบัญชี

สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียจากโควิด-19 หรือรหัสสถานะบัญชี 21 ณ เดือนก.ย. พบว่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.1 ล้านบัญชี จาก 4.9 ล้านบัญชี เมื่อมิ.ย. ที่ผ่านมา และหากคิดเป็นหนี้รวมที่ 3.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3.7 แสนล้านบาท และหากคิดเป็นจำนวนคนพบว่า มีลูกหนี้ที่อยู่ในรหัส 21 ทั้งสิ้น 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 3.4 ล้านคน

ทั้งนี้หากดูไส้ในของลูกหนี้กลุ่มรหัส 21 ที่มีจำนวนหนี้เสียอยู่ที่ 3.9 แสนล้านบาท หลักๆมาจากกลุ่มสินเชื่อรถยนต์​และสินเชื่อบ้าน โดยสินเชื่อรถ มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.4% จาก 2.81 หมื่นล้านบาท

ขณะที่สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3% จาก 5.3 หมื่นล้านบาท ของไตรมาสเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ หากดูลูกหนี้ในกลุ่ม 21 ส่วนใหญ่อยู่กับแบงก์รัฐเป็นหลัก ที่ 2.9 ล้านบัญชี แบงก์พาณิชย์ 5.23 แสนบัญชี และนอนแบงก์ 8.62 แสนบัญชี

นายสุรพล กล่าวว่า กลุ่มที่เครดิตบูโร ห่วงมากที่สุดคือ กลุ่มรหัส 21 ที่มีจำนวนคนที่ตกเป็นหนี้เสียค่อนข้างมาก ถึง3.5 ล้านคน ที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นหนี้เสีย แต่เป็นสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องเร่งช่วยเหลือให้กลุ่มนี้สามารถออกจากกับปัญหาได้

อีกกลุ่มที่น่าห่วง คือ ลูกหนี้เอสเอ็มอีรายจิ๋ว ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันมีหนี้เสียระดับสูงที่ 9.7% หรือคิดเป็นหนี้เสียรวมที่ 6.6 หมื่นล้านบาท และกลุ่มนี้มีแนวโน้มปรับโครงสร้างได้น้อยลง เนื่องจากกฏเกณฑ์กติกาที่อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต