เสียงเตือนจากเวทีดาวอส ‘ดิจิทัล-กรีน’สะเทือนโลก 

เสียงเตือนจากเวทีดาวอส ‘ดิจิทัล-กรีน’สะเทือนโลก 

ท๊อป จิรายุส สะท้อนเรื่องราวจากการประชุมดาวอสที่ส่งเสียงสะเทือนไปยังทั่วโลกว่า"ต้อง" เคลื่อนไหวเรื่อง "กรีน และ ดิจิทัล" อาเซียนกำลังจะมี 3 สิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2568 เพื่อฉายแสงอาเซียนเข้าสู่ยุคทอง ภายใต้ "รูปแบบการค้า"สู่ กรีนซัพพลายเชนอย่างสมบูรณ์แบบ

Keypoint: 

  • “Rebuilding Trust” หรือการฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้กลับมา หลังจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับการชะงักงันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
  • ในปี 2567 จะเป็นปีที่โลกจะเข้าสู่จุด“สมดุล”มากขึ้น เริ่มจากตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มลดลงในทุกประเทศทั่วโลก
  • การเปลี่ยนแปลงของ  “เทรดแพทเทิร์น”ที่จะเปลี่่ยนกฎของโลกธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง
  • ตอกย้ำสู่ "ยุตทองของอาเซียน" ที่จะกลายเป็นหมุดหมายต่อไปของประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐ

“จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้เป็นมันสมองหลักของ “Bitkub” เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ผ่านรายการ Deep talk ว่า หลังจากได้เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum 2024 หรือ การประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ระหว่างวันที่ 15-19 ม.ค. 2567 ณ กรุงดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งเป็นการประชุมสำคัญที่รวมตัวผู้นำของแต่ละประเทศ นักธุรกิจชั้นนำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ หน่วยงานและนักวิชาการจากทั่วโลกกว่า 2,800 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในแต่ละปี

ถือเป็นปีที่ 3 ของ “จิรายุส” ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Rebuilding Trust” หรือการฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้กลับมา หลังจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับการชะงักงันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของโลกที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการเติบโตของจีดีพีของโลกแล้ว

โดยต่อจากนี้โลกจะทำยังไงให้ “ความเชื่อใจ” กลับมาได้ โดย “หลี่ เฉียง” นายกรัฐมนตรีจีน ได้เผย 6 โซลูชันเรียก “ทรัสต์ระดับโลก” กลับมาเริ่มต้นด้วย 

1. ผู้นำโลกต้องพูดคุยกันมากกว่านี้ เพื่อแชร์มายเซ็ทในการขับเคลื่อนโลกไปด้วยกัน 

2.แต่ละประเทศไม่ควรออกนโยบายระดับมหภาคระดับประเทศที่ขัดแข้งขัดขา เพราะโลกเราเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เราคิด ซึ่งควรต้องคำนึงถึว่าจะออกกฎเกณฑ์อย่างไรให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย 

3.สร้างความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนทั่วโลก เพื่อทำให้เทรดดิ้งพาร์ตเนอร์ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

4.ภาคพลังงานต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการผลิต ให้เป็น “สีเขียว" โดยด่วน และต้องทำให้กรีนฮับที่ตอนนนี้กระจุกตัวอยู่ในยุโรปกระจายตัวไปยังภูมิภาคอื่นด้วย เพื่อผลักดันให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงไปสู่กรีนซัพพลายเชนอย่างราบรื่นที่สุด 

5.โลกกำลังเข้าสู่การปฎิวัติทางเทคโนโลยี “ดิจิทัล” คือ 4th Industrial Revolution ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จะทำยังไงให้ไม่เกิดการแย่งชิงและร่วมกันคิดค้นเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งผลิตบุคลากรที่มีความสามารถเข้าสู่ตลาด

สุดท้ายคือ 6.สร้างความเท่าเทียมระหว่างความสัมพันระหว่าง  Global North รวมทั้งกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และ Global South ซึ่งประกอบด้วย แอฟริกา อเมริกาใต้ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งเกิดความไม่เท่าเทียม จาก Climate Tech เทคโนโลยีที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกระจุกตัวอยู่ใน Global North รวมไปถึงตัวเลขการลงทุนทิ้งห่าง แล้วจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อย่างไรในเมื่อโลกที่แตกเป็นเศษส่วนและกำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านกันอย่างมหาศาล

ขณะเดียวกัน ผู้นำทุกคนในเวทีดาวอสเห็นตรงกันว่า ในปี 2567 จะเป็นปีที่โลกจะเข้าสู่จุด“สมดุล”มากขึ้น เริ่มจากตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มลดลงในทุกประเทศทั่วโลก ตามด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก ทั้งการกระจายขั้วอำนาจ และ “เทรดแพทเทิร์น”ที่จะเปลี่่ยนกฎของโลกธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง

ในปีที่ผ่านมาธีมของดิจิทัล เซอร์วิส ดิจิทัลเซอร์วิสและกรีนที่มีการเติบโตอย่างเร็ว ยิ่ง “กรีน” ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานนั้นเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 300% ในปีที่ผ่านมา ดังนั้น สัดส่วนของจีดีพีจะมีโอกาสเติบโตนับต่อจากนี้ มาจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และการซื้อขายผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ 

ปฎิเสธไม่ได้ว่า “กรีนโปรเจกต์” จะทำให้เกิดกฎใหม่ของโลกธุรกิจ ที่เข้ามาบีบเค้นให้บริษัทที่ไม่คำนึงถึง “ธุรกิจสีเขียว” ให้ไม่สามารถส่งออกหรือนำเข้า ธนาคารไม่ปล่อยกู้ หรือถึงขั้นโดนแซงก์ชัน ทำให้เม็ดเงินกลุ่มเก่าเข้าสู่กลุ่มใหม่ และสร้างกำไรให้กับธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องกรีนมากขึ้น ซึ่งจะสามารถเรียกเม็ดเงินลงทุนจากกลุ่มสถาบันเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะโลกที่กำลังเคลื่อนที่ไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเรื่อง “กรีนซัพพลายเชน” นั้น ต้องขับเคลื่อนด้วยเงินลงทุนจากลุ่มสถาบันที่ต้องอาศัยเงินทุนสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ทุกปีไปจนถึงปี 2050 ซึ่งคิดเป็น 5% ของจีดีพีโลกเพื่อให้โลกบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

รวมทั้ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่ถูกพูดถึงว่า “ในปี 2566 คือปีแห่งการทดลองเล่น AI แต่ปีนี้เป็นปีของการใช้จริง” และ "AI จะเป็นจุดกำเนิดของจริงสำหรับ Future of Job และ Future of Growth” เพราะตลอดปีที่ผ่านมาโลกของเราอยู่กับที่ ไม่มีใครเป็น Growth Engine หรือผู้ขับเคลื่อนเศรษบกิจโลกรายใหม่ เว้นแต่อินเดียที่เติบโตเป็น The new winner ปีนี้จึงต้องมี Growth Engine ใหม่ที่จะปลดล็อค

ทำให้ทุกเสียงในที่ประชุมดาวอสมองว่า AI เป็น The most powerful of technology หรือ ที่สุดของเทคโนโลยีอันทรงพลังที่ไม่ได้มีมานานแล้วตั้งแต่ยุคอินเตอร์เน็ต เข้ามาปลดล็อกโปรดักซ์ทิวิตี้ใหม่ให้กับโลก และจะเป็น The new driver สิ่งที่ขับเคลื่อนโลกต่อไป

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การมาของ AI คือจะกระทบกับการใช้งาน และการทำงานที่จะถูกออโตเมต (automated) คือ ปฏิบัติการ หรือควบคุมโดยขบวนการอัตโนมัติด้วย AI ซึ่งในยุคนี้คนที่กระทบมากที่สุดคือคนที่ทำงานด้วย “สมอง” คือ

กลุ่ม White-collar worker หมายถึง คนที่ทำงานที่ใช้มันสมองเป็นหลัก ทำให้อีก 5 ปี ข้างหน้า 44% ของทักษะมนุษย์จะไม่สามารถใช้ได้ อีกต่อไป แต่ไม่ใช่ทุกงานที่ AI จะสามารถทำแทนมนุษย์ อาจมีตำแน่งงานใหม่ๆ ที่ถูกรวมเข้ากับเทคโนโลยี AI

วงการการพัฒนา AI อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาโมเดลใหม่ที่ใช้อินพุท หรือข้อมูลน้อยลง แต่มีผลลับเหมือนเดิม เพื่อลดผลกระทบของการละเมิดลิขสิทธิ์ในการเอาข้อมูลมาทำแมชชีนเลิร์นนิ่ง

ถัดมาคือ โมโนไท ดีเซนเทอไลโมเดล เพื่อให้คนใช้และคนสร้างสามารถสร้างเม็ดเงินจาก AI และสิ่งสำคัญคือ “ศีลธรรม” ที่จะถูกใส่ลงไปใน AI เพื่อดีไซน์ให้ AI มีศีลธรรมมากขึ้น เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีพลังอำนาจอย่างมาก ถ้าไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจะทำให้ถูกใช้ในด้านลบ ดังนั้น จะต้องกำหนดกรอบว่าอะไรไม่ควรล้ำเส้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั่วโลกต้องช่วยกันกำหนดกฏเกณฑ์ของ  AI

 “นิวเทรดแพตเทิร์น” หรือรูปแบบการค้าแบบใหม่ที่ทั้งโลกต้องให้ความสำคัญมากขึ้น ทำให้อาเซียนกำลังจะมี 3 สิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 ที่มีการเซ็นต์ข้อตกลงร่วมกัน หนึ่งในหัวข้อเสวนาบนโต๊ะดินเนอร์ของผู้นำระดับอาเซียน จะทำให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มอาเซียน ซึ่งเริ่มต้นจาก"ดิจิทัลอิโคโนมี่" คือ

1. One Asian Strong ทำให้การหมุนเวียนเม็ดเงินผ่านระบบชำระเงินในอาเซียนเกิดขึ้นได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

2. ระบบโลจิสติกส์ ที่พูดคุยเป็นภาษากฏหมายเดียวดัน ซึ่งจะทำให้นำเข้าและส่งออกของภูมิภาคซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกไหลลื่น

3.ความลื่นไหลของคน ด้วย"วันวีซ่า" หรือพาสพอร์ตเล่มเดียวไปได้ทั่วทั้งอาเซียน

กลุ่มผู้นำคุยกันว่าจะทำยังไงให้อาเซียนจับมือกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนภายใต้มายเซ็ท และชนะด้วยกันทั้งอาเซียน ถึงขั้นมีการเปิดแชทเพื่อแลกเปลี่ยนความกังวล และสนุบสนุนซึ่งกันและกัน เพราะอย่ามลืมว่า สหรัฐย้ายฐานซัพพลายออกจากจีนและมุ่งเป้ามาที่อาเซียน

พร้อมกับที่จีนมองเอเชียเป็น Growth Engine ใหม่ ถือเป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าอาเซียนกำลังเข้าสู่ปีทอง และกำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่ที่ทุกคนมองมาด้วยเศรษฐกิจใต้น้ำที่ถูกค้นพบแค่ 16% กลุ่มคนทำงานที่อยู่ในวัยกลางคน การเป็นแหล่งแร่หายาก ที่สำคัญที่สุดคือภายในภูมิภาคไม่ทะเลาะกับใครมีความสงบสุข

ทำให้บทบาทอาเซียนบนเวทีโลกเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับไทยที่ถูกส่องแสงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน”

ทำให้ประเทศไทยกลับมามีแสงส่องสว่างบนเวทีโลก เพื่อต้องการเรียกนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย โดยการสร้างจุดขายใหม่ ถึงการเป็นพื้นที่ที่มีความสามัคคี ผู้นำในกลุ่มอาเซียนสื่อสารกัน นอกเหนือจากการเป็นกลุ่มแรงงานราคาถูก

 ดังนั้น นี่อาจเป็นโอกาสที่ใหญ่มากของไทยต้องเปลี่ยนขบวนผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ บริษัทเล็กระดับ SME ไปถึงบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปสู่กรีนซัพพลานเชน เพื่อเปลี่ยนอาวุธใหม่เพื่อต่อสู้กับโลกโดยด่วน ซึ่งไทยต้องเตรียมตัว

"ดิจิทัล และ กรีน เป็็นเพียง 2 คำที่ธุรกิจไทยต้องเริ่มพูดถึงในทุกอาเจนด้าเพื่อคว้าเม็ดเงินลงทุนในระยะยาว ซึ่งไทยต้องรีบสร้าง

ความตระหนักรู้ในเรื่องClimate Tech พร้อมกับผลักดัน ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพราะเศรษฐกิจดิจิทัลจะเป็นตัวชูโรงของ GDP ในอนาคต ส่วนสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจ พร้อมกับพัฒนาบุคลากรในประเทศเตรียมกลยุทธ์ใหม่เพื่อคว้าโอกาส"