ลงทุน 'บิตคอยน์' ปีไหนได้กำไรมากสุด ย้อนเส้นทาง 14 ปี สู่คริปโทฯ อันดับ 1

ลงทุน 'บิตคอยน์' ปีไหนได้กำไรมากสุด ย้อนเส้นทาง 14 ปี สู่คริปโทฯ อันดับ 1

ในช่วงที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ในภาวะ "ขาลง" ทำให้ราคาคริปโทฯ ทั้งตลาดปรับตัวลดลงจากระดับออลไทม์ไฮที่ระดับสูงสุดกว่า 50% จนหลายคนต่างมีข้อสงสัยว่าราคาจะสามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดได้หรือไม่

Keypoint: 

  • ลงทุนบิตคอยน์ปีไหนได้กำไรมากสุด
  • ย้อนรอยราคาบิตคอยน์ตั้งแต่ปี 2010
  • ย้อนไทม์ไลน์ของบิตคอยน์ ผู้สร้างไร้ตัวตน สู่อันดับ 1 ตลาดคริปโทฯ

วันนี้กรุงเทพธุรกิจ จะพามาย้อนเส้นทางราคาบิตคอยน์ตลอดทั้ง 14 ปี  ที่เติบโตมาเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด ซึ่งนักวิเคราะห์เชิงสถิติวิเคราะห์ว่า ราคาตลาดคริปโทฯ จะผันผวนตามบิตคอยน์

บิตคอยน์ (Bitcoin) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่เกิดจากแนวคิดของการที่จะแก้ปัญหาการเงินรูปแบบเก่าที่ถูกควบคุม และแทรกแซงกลไกตลาดจากคนกลาง ด้วยการสร้างสกุลเงินที่ผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยนกันอย่างอิสระได้ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง (Decentralised) แต่ใช้เทคโนโลยี Blockchain มาช่วยรองรับการทำงานแทน ซึ่งผู้ใช้ทุกคนในเครือข่ายสามารถเข้าถึง และตรวจสอบทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนนั้นได้อย่างอิสระ บิตคอยน์ได้ถือกำเนิดมาอยู่ในโลกการเงินดิจิทัลครบ 14 ปีแล้ว วันนี้จะพาย้อนเวลาไปตั้งแต่วันแรกที่บิตคอยน์เกิดขึ้น และการเติบโตในแต่ละปีของบิตคอยน์กัน

ลงทุนปีไหนได้กำไรมากสุด

ลงทุน \'บิตคอยน์\' ปีไหนได้กำไรมากสุด ย้อนเส้นทาง 14 ปี สู่คริปโทฯ อันดับ 1
เมื่อดูสถิติราคาของบิตคอยน์ที่เติบโตจากราคาเพียง  0.09 ดอลลาร์ ในปี 2010 ถึงจุดสูงสุดที่ 6.8 หมื่นดอลลาร์ในปี 2021 แน่นอนว่าใครที่ถือบิตคอยน์ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นได้กำไรเป็นหมื่นเด้ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเชื่อศักยภาพของบิตคอยน์มากกว่าการเป็นเทคโนโลยีทางการเงิน

ปัจจุบันราคาบิตคอยน์เคลื่อนไหวที่ระดับ 26,000 ดอลลาร์ แปลว่าถ้านักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงที่ราคาต่ำกว่าตอนนี้จะสามารถทำกำไรได้ หากนักลงทุนช้อนซื้อช่วงต่ำสุดทั้ง 4 ครั้งก่อนการเกิดฮาฟวิ่งบิตคอยน์ ได้แก่ 

  • ปี 2010 บิตคอยน์ราคา 0.09 ดอลลาร์ ทำกำไร 28 ล้าน%
  • ปี 2014 บิตคอยน์ราคา 315 ดอลลาร์ ทำกำไร 8,153%
  • ปี 2020 บิตคอยน์ราคา 6,635 ดอลลาร์ ทำกำไร 291%
  • ปี 2022  บิตคอยน์ราคา18,000 ดอลลาร์ ทำกำไร 44%
     

การเติบโตของบิตคอยน์ใน 14 ปีที่ผ่านมา

  • 2008 – เกิดการเคลื่อนไหวครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 เป็นวันที่คำว่า Bitcoin (บิตคอยน์) ปรากฏขึ้นในอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคำนี้ถูกระบุอยู่ในเอกสารที่ชื่อว่า Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System เป็นเอกสารที่อธิบายรายละเอียดของบิตคอยน์อย่างละเอียดหรือ Whitepaper จากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้นามแฝงว่า “ชาโตชิ นากาโมโตะ” สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่าน Bitcoin Whitepaper สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ https://bitcoin.org/en/bitcoin-paper
  • 2009 – หลังจากซาโตชิสร้างบล็อกแรกขึ้นบนบล็อกเชนของบิตคอยน์ หรือที่ในวงการเรียกว่า Genesis block เครือข่ายบิตคอยน์ เครือข่ายก็ได้เริ่มการทำงานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009
  • 2010 – การใช้บิตคอยน์ในการซื้อสินค้าได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากบิตคอยน์เกิดขึ้นได้เพียง 2 ปีกว่าๆ โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2010 โปรแกรมเมอร์บริษัทขายสินค้าออนไลน์แห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดานามว่า ลาสซ์โล ฮันแยชซ์ ใช้บิตคอยน์ในการซื้อพิซซ่า Papa John’s จำนวน 2 ถาดในราคา 10,000 BTC ซึ่งในขณะนั้นมีราคาเพียงแค่ 0.04 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากคิดมูลค่าในปัจจุบันก็เท่ากับ 7,531,529,100 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งวันที่ 22 พฤษภาคม ของทุกปีก็ถูกกำหนดให้เป็นวัน Bitcoin Pizza Day ด้วย
  • 2011 – ตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายคริปโทฯ ในต่างประเทศเริ่มลิสต์บิตคอยน์มาให้ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ราคาของบิตคอยน์จากเดิมที่ประมาณ 1 ดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ ได้ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 32 ดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน คิดเป็นการเติบโตถึง 3,200% ภายในเวลาเพียง 3 เดือน
  • 2012 – เกิด Bitcoin Halving ครั้งแรก ในปี 2012 ในช่วงปี 2012 ก่อนการ Halving บิตคอยน์มีมูลค่าอยู่ที่ 2.01 ดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งหลังจากการ Halving ครั้งแรก ซึ่งรางวัลลดลงจาก BTC ต่อบล็อก เป็น BTC ต่อบล็อก ราคาของบิตคอยน์เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 270.94 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 13,480%) หลังจากนั้นราคาก็ค่อยๆ ลดลงถึง 70% จนถึงมูลค่าที่ควรจะเป็น
  • 2013 – เป็นปีที่ราคามีการเคลื่อนไหวรุนแรงมากที่สุดปีหนึ่ง ได้พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 220 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนเมษายน แต่ก็ย่อกลับลงแถว 70 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างรวดเร็วภายในเดือนเดียวกัน แต่ราคาไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ราคากลับมาพุ่งขึ้นต่ออีกครั้งในเดือนธันวาคม คราวนี้ขึ้นไปถึงระดับ 1,156 ดอลลาร์สหรัฐ และก็เช่นเดิม หลังจากที่ราคาได้ขึ้นไปทำระดับสูงสุด ราคาก็ย่อลงมาอย่างรวดเร็วที่ 315 ดอลลาร์สหรัฐ
  • ในปีเดียวกัน People’s Bank of China ได้ประกาศห้ามสถาบันทางการเงินในประเทศทำธุรกรรมใด ๆ ด้วยบิตคอยน์ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ลดลงอย่างหนัก และเข้าสู่ขาลงในปีต่อมา
  • 2014 – 2015 บิตคอยน์เริ่มปรับฐานใหม่เข้าสู่ขาลง โดยลงไปทำระดับต่ำสุด 314 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาได้รับการกระทบกระเทือนขึ้นๆ ลงๆ จากปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่การยอมรับโดย PayPal ยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินและเทคโนโลยีที่ใหญ่โตอย่าง Microsoft ไปจนถึงคำสั่งขายจำนวนมหาศาลจาก ‘BearWhale’ (กลุ่มนักลงทุน Whale ที่ใช้โอกาสในการเข้าซื้อขายในช่วงสั้นๆ) และการปราบปรามที่มีข่าวลือโดยทางการจีน และในปี 2015 เริ่มกลับขึ้นมาได้เล็กน้อยที่ 434 ดอลลาร์สหรัฐ
  • 2016 – เกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 2 ได้เกิดขึ้นในปีนี้ ในช่วงก่อนการ Halving บิตคอยน์มีมูลค่าอยู่ที่ 664.44 ดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากการ Halving ครั้งที่ 2 จะเหลือ 12.5 BTC ต่อบล็อก ในช่วงแรกราคาไม่หวือหวามากนัก แต่ราคาก็ค่อยขยับขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับ 998 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปี
  • 2017 – เกิดการอัปเดตเครือข่ายของบิตคอยน์ครั้งสำคัญที่ชื่อว่า Segwit (Segregated Witness) จากการอัปเดตครั้งนี้ นักพัฒนาให้ความเห็นว่ามีจะส่วนช่วยแก้ปัญหาการโอนบิตคอยน์ให้รวดเร็วขึ้นเพราะช่วยจัดการปัญหาความหนาแน่นในการทำธุรกรรม และใช้ค่าธรรมเนียมถูกลง
  • 2018 – 2019 เป็นช่วงปีที่ราคาของบิตคอยน์แกว่ง และย่อตัวลง หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดใหม่เรียบร้อยในปี 2017 สำหรับในประเทศไทยการซื้อขายบิตคอยน์เริ่มเป็นที่แพร่หลาย และสะดวกมากขึ้น จากการเปิดตัวของกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ และอื่นๆ  ที่เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถซื้อขาย บิตคอยน์ และคริปโทเคอร์เรนซีด้วยเงินบาทได้ด้วยตัวเอง
  • 2020 – เป็นปีที่คนไทยเริ่มรู้จักบิตคอยน์และคริปโทฯ กันมากขึ้น พร้อมกับเป็นช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 ทำเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ธนาคารกลางสหรัฐรวมถึงอีกหลายๆ ประเทศจึงต้องพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ด้วยมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Easing (QE) อัดฉีดเงินเพิ่มด้วยการพิมพ์เงินไม่จำกัด จนส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อขั้นรุนแรงตามมา นักลงทุนส่วนหนึ่งตัดสินใจถือสินทรัพย์ทางเลือกอย่างบิตคอยน์ และสกุลเงินอื่นเพื่อหนีจากเงินเฟ้อ

ซึ่งในปีเดียวกันนี้ Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 ก็ได้เกิดขึ้นด้วย ซึ่งทำให้รางวัลจากการขุดลดลงจาก 12.5 BTC ต่อบล็อก เป็น 6.25 BTC ต่อบล็อก โดยช่วงต้นปี 2020 บิตคอยน์ถูกซื้อขายที่ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐ และในช่วงปลายปี ราคาก็ขึ้นไปทำระดับสูงสุดเหนือกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

  • 2021 – ราคาบิตคอยน์ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนไปถึง 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ (All-time High) ในช่วงปีนี้บิตคอยน์เริ่มเป็นที่รู้จัก และเป็นที่พูดทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยด้วย เป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤติโควิด ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น MicroStrategy ที่เลือกถือ บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรอง หรือ Morgan Stanley ที่เริ่มให้บริการเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี เรียกได้ว่าเป็นปีที่มีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาในวงการกันอย่างล้นหลาม รวมถึงรัฐบาลประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่เดินหน้าอนุมัติให้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเป็นประเทศแรกของโลก ส่งผลให้นักลงทุนกลับมามุมมองที่ดีต่อตลาดคริปโทฯ

แต่ในปีเดียวกันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้บิตคอยน์แกว่งไปมา เช่น เหตุการณ์ที่รัฐบาลจีนก็ได้ประกาศห้ามประกอบกิจการเกี่ยวกับการขุดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ลดลงอย่างรวดเร็ว

  • 2022 – ถือเป็นช่วงที่สินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ในสภาวะตลาดหมี (Bear Market) มูลค่าของบิตคอยน์ในตลาดโลกลดลงถึง 60% ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะพี่ใหญ่ของวงการที่ได้รับผลกระทบสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นด้วย อย่างเช่น Terra ที่มูลค่า -100% หรือแม้แต่ Ether, Solana, Cardano ก็ไม่สามารถหนีวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้เช่นกัน
  • 2023 – ปีแห่งความหวังของบิตคอยน์ จากสภาวะตลาดหมี และเงินเฟ้อที่ส่งผลให้วงการสินทรัพย์ดิจิทัลผันผวนสูงอย่างคริปโทฯ และโทเคนให้แกว่งไปมา รวมถึงพี่ใหญ่อย่างบิตคอยน์ด้วย ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราเริ่มได้เห็นการฟื้นตัวครั้งใหม่ของบิตคอยน์ที่เริ่มปรับฐาน และมีแนวโน้มของราคาไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับตัวชี้วัด Relative Strength Index (RSI) ที่เกิน 70 แสดงให้เห็นสัญญาณ Overbought และกราฟที่ทำทรงคล้ายกับการฟื้นตัวของตลาดหมีรอบที่แล้ว นักลงทุนหลายคนเริ่มมีความหวังกับการขยับตัวในครั้งนี้ แต่ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะมีปัจจัยใดที่ทำให้ราคาแกว่งขึ้นลงได้อีกบ้าง

ในปีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับบิตคอยน์
ชาโตชิ นากาโมโตะ ผู้สร้างบิตคอยน์ได้ฝังชุดคำสั่งไว้ในบล็อกเชน โดยกำหนดไว้ว่ารางวัลจากขุดจะลดลง “ครึ่งหนึ่ง” ทุกๆ 210,000 บล็อก แต่ละบล็อกจะถูกสร้างขึ้นทุก 10 นาที ดังนั้น 210,000 บล็อก จะใช้เวลาโดยประมาณ 4 ปี และรางวัลจากการขุดจะลดลงทุกๆ 4 ปี เรียกกันว่า Bitcoin Halving

หมายความว่า อุปทาน (Supply) ของบิตคอยน์ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งจำกัดลงไปอีกซึ่งรางวัลจะลดลงจาก 6.25 BTC ต่อบล็อก เป็น 3.125 BTC ต่อบล็อก ในทางทฤษฎีราคาของบิตคอยน์อาจจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ตามภาพประกอบโดยเส้นสีฟ้าคือ ช่วงที่เกิด Bitcoin Halving

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการคาดการณ์ โดยวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตเท่านั้น ไม่สามารถรับรองได้ว่าราคาบิตคอยน์จะปรับขึ้นอีกหลัง Bitcoin Halving ครั้งต่อไปได้ นักลงทุนควรมีวิจารณญาณ และบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม และศึกษาทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่จะลงทุนให้ละเอียดด้วย

อ้างอิง bitkub CNBC

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์