ผ่ารายงานล้มละลาย FTX ของ SBF ฉบับใหม่ “โอหัง ไร้ความสามารถ และละโมบ”
ผ่ารายงานการล้มละลายของ FTX และบริษัทในเครือฉบับใหม่ เผยรายละเอียดถึงอาณาจักรคริปโทของ Sam Bankman-Fried ที่ไร้ความสามารถขององค์กร การทุจริตที่อาจเกิดขึ้น และการรักษาความปลอดภัยในระดับต่ำ
Key point
- FTX เก็บสินทรัพย์ใน Hot wallets ความปลอดภัยระดับต่ำ เสี่ยงโดนแฮ็ก ขัดหลักปฏิบัติมาตรฐานของอุตสาหกรรมคริปโท
- private keys มูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลล่าร์ ถูกจัดเก็บไว้โดยไม่มีการเข้ารหัสและเข้าถึงได้ง่ายมาก
- FTX ถูกผูกขาดจากผู้มีอำนาจ และไม่มีรายชื่อของพนักงานในบริษัท
รายงานฉบับนี้จัดทำโดย John Ray III ซีอีโอผู้ดูแลบริษัทและทีมกฎหมายจากภายนอก ได้เพิ่มรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความโกลาหลของการดำเนินธุรกิจของ Sam Bankman-Fried หรือ SBF ซึ่งระบุว่าเป็น "ความโอหัง ความไร้ความสามารถ และความละโมบ" โดยประโยคดังกล่าวเป็นไฮไลท์ในเอกสารหน้า 43
เก็บสินทรัพย์ใน Hot wallets เสี่ยงโดนแฮ็ก
หาก SBF ไม่ถูกจับได้ว่ากระทำการฉ้อโกง เป็นไปได้ว่าในอนาคต FTX และบริษัทในเครือก็จะล้มเหลวอยู่ดี เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยจำนวนมาก ตามที่ระบุไว้ในรายงานฉบับใหม่ โดยใจความสำคัญของ hot wallets ที่เก็บสินทรัพย์มูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ไม่ได้ถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย และการพึ่งพา hot wallets ที่ขัดต่อหลักปฏิบัติมาตรฐานของอุตสาหกรรมคริปโท
FTX Group เก็บทรัพย์สินคริปโทเกือบทั้งหมดไว้ใน hot wallet ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนแฮ็ก การโจรกรรม การยักยอก และการสูญเสียโดยไม่ได้ตั้งใจมากกว่า cold wallet เนื่องจาก hot wallets ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
โดยทั่วไป เว็บเทรดคริปโทที่ดำเนินการอย่างรอบคอบจะเก็บสินทรัพย์คริปโทส่วนใหญ่ไว้ใน cold wallet ซึ่งไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และเก็บไว้ใน hot wallets ในปริมาณจำกัดที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการรายวัน การซื้อขาย และการถอนเงินของลูกค้าที่คาดไว้เท่านั้น
Ray ผู้บริหารคนปัจจุบันของ FTX ยังกล่าวหาว่า Bankman-Fried และคนอื่น ๆ “โกหก” เมื่อถูกถามเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยจากลูกค้าและคู่สัญญา
Ray ระบุว่า private keys สำหรับกระเป๋าเงินต่าง ๆ รวมถึงกระเป๋าเงินที่มี “ทรัพย์สิน Ethereum” มากกว่า 100 ล้านดอลล่าร์ ถูกจัดเก็บไว้ใน plain text โดยไม่มีการเข้ารหัสและเข้าถึงได้ง่ายมาก
นอกจากนี้ private keys สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ถูกจัดเก็บไว้ใน password manager ของ Amazon Web Services ที่ “พนักงานกลุ่ม FTX จำนวนมาก” สามารถเข้าถึงได้ และสามารถโอนสินทรัพย์เหล่านั้นด้วยตัวเองได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ทั้งนี้ Ray ยังเผยว่า Alameda Research ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในเครือของ Bankman-Fried ก็มีปัญหาด้านความปลอดภัยที่คล้ายกัน
ไม่มีการเก็บรักษา "ไพรเวทคีย์" ที่ดี
นอกเหนือจากความเสี่ยงสูงต่อการโจรกรรมหรือการแฮ็กแล้ว keys ของกระเป๋าเงินจำนวนหนึ่งไม่ได้สำรองข้อมูลไว้เช่นกัน
รายงานเผยว่า private keys ของ FTX Group จำนวนมากถูกเก็บไว้โดยไม่มีการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งหาก keys หาย สินทรัพย์คริปโทที่เกี่ยวข้องอาจสูญหายไปอย่างถาวร
รวมทั้งการที่ FTX Group ไม่เก็บรักษาอย่างเหมาะสมในการเข้าถึง private keys ทำให้พนักงานหรือคนอื่น ๆ อาจสามารถคัดลอก private keys เหล่านั้นไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตนเองและโอนสินทรัพย์คริปโทที่เกี่ยวข้องออกไปโดยปราศจากการตรวจจับ
นอกจากนี้ อดีต CEO ของ FTX ยังใช้ Alameda เป็นเหมือนกระปุกออมสินส่วนตัวของเขา โดยมีการโอนเงินหลายสิบล้านไปยังบัญชีธนาคารส่วนบุคคลในปี 2564 และ 2565 แต่กลับบันทึกรายการธุรกรรมเป็น “การลงทุน-cryptocurrency”
FTX ถูกผูกขาดจากผู้มีอำนาจ
รายงานระบุว่า การตัดสินใจใด ๆ ของ FTX นั้นถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยผู้บริหารกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวว่า หาก Gary Wang ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท FTX หรือ Nishad Singh หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรม ไม่สามารถทำงานได้ การดำเนินการของบริษัท FTX ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งหมดก็จะยุติลง เนื่องจากขาดความรู้ด้านเทคนิคในหมู่ผู้นำคนอื่น ๆ รวมถึง SBF ด้วย
ไร้ร่องรอย "ระบบการทำงาน"
ไม่ใช่แค่สินทรัพย์คริปโทเท่านั้นที่เราไม่สามารถติดตามได้ ในช่วงเวลาของการยื่นล้มละลาย FTX Group นั้น ไม่มีแม้แต่รายชื่อที่เป็นปัจจุบันและรายชื่อทั้งหมดของพนักงานในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังไม่มีบันทึกว่าบริษัทเกี่ยวข้องกันอย่างไรภายในอาณาจักรคริปโทกว่า 100 บริษัท หรือใครเป็นเจ้าของกิจการใด
ข้อความที่ใช้ภายในบริษัทถูกส่งโดยใช้ Signal และ Telegram พร้อมด้วยฟังก์ชันการลบโดยอัตโนมัติ ทำให้ยากต่อการยืนยันสิ่งที่พูด ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายของบริษัทนับสิบล้านรายการฃได้รับการร้องขอหรืออนุมัติโดยใช้อีโมจิบน Slack โดยร่องรอยเหลือเพียงบันทึกที่ไม่เป็นทางการ หรือแทบไม่มีการบันทึกที่สำคัญเลย
Ray รวมถึงที่ปรึกษาและทนายความด้านการล้มละลายของ FTX กล่าวว่า จะยังคงรื้อฟื้นความยุ่งเหยิงของฮาณาจัก FTX ตามกระบวนการที่ตั้งไว้
โดยวันที่ขึ้นศาลครั้งต่อไปในคดีล้มละลายของ FTX คือวันที่ 12 เมษายน 2566 นี้