วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพรวมผลประกอบการหุ้นบริโภค, ท่องเที่ยว, อาหารดี ส่วนการเงินยังอ่อนแอ

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพรวมผลประกอบการหุ้นบริโภค, ท่องเที่ยว, อาหารดี ส่วนการเงินยังอ่อนแอ

ผลประกอบการผสมผสาน แต่ภาพรวมหุ้นบริโภค การท่องเที่ยว และอาหารออกมาดี ขณะที่กลุ่มเนื้อสัตว์เห็นสัญญาณฟื้นตัว

บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/67 ถึงสิ้นสัปดาห์ที่แล้ว 316 แห่ง (คิดเป็น 37.8% ของบจ.รวม) มีกำไรรวมทั้งสิ้น 174,439 ล้านบาท -4.0% YoY แม้กำไรออกมาทรงตัว แต่หุ้นในกลุ่มบริโภค ท่องเที่ยว และอาหารออกมาดี ไม่ว่าจะเป็น CPALL, AU, CBG, COCOCO, SPA, TKN, TNP, VRANDA, MALEE ขณะที่กลุ่มเนื้อสัตว์ BTG ขาดทุนลดลง และผู้บริหารส่งสัญญาณผ่านการประชุมนักวิเคราะห์ คาดกลับมามีกำไรเป็นบวกในไตรมาส 2/67 ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับที่เราสื่อสารกับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา สำหรับหุ้นที่ผลประกอบการไม่ดีนัก ได้แก่ กลุ่มการเงินหรือที่มีต้นทุนอิงดอกเบี้ยและผลประกอบการอิงภาวะเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น ASK, EASTW, KCAR, NCAP, TPOLY, ONEE, WORK, EA, NEX เป็นต้น   

ปัจจัยติดตามทั้งต่างประเทศและในประเทศในช่วงนี้ 1) เงินเฟ้อสหรัฐฯ PPI (14 พ.ค.) และ CPI (15 พ.ค.) 2) กระทรวงการคลังอาจนำมาตรการ LTF กลับมาใช้ 3) การปรับพอร์ตตามดัชนี MSCI (14 พ.ค.) 4) การเข้าสู่การประกาศผลประการไตรมาส 1/67 ช่วงท้าย 5) คาดการณ์หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ประกาศช่วงกลาง มิ.ย.

 


 

ภาพรวมกลยุทธ์ บรรยากาศเก็งกำไรรายตัวยังเป็นบวก ขณะ SET อาจชะลอหลังเข้าใกล้กรอบบนของการแกว่ง 1,349-1,380 จุด การเก็งกำไรเน้นหุ้นที่ยังขึ้นน้อยกว่าตลาด (laggards) และควรกำหนดจุดตัดขาดทุนรวมถึงเป้าขายทำกำไร แม้ยังชอบกลุ่มอาหาร/เนื้อสัตว์/อาหารสัตว์เลี้ยง แต่อาจระวังแรงทำกำไรระยะสั้นจากเงินบาทที่มีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าระยะสั้น

หุ้นแนะนำ: CPALL*, CCET*, BTG*, SORKON*

แนวรับ: 1,349-1,359 / แนวต้าน : 1,380 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ    

คลังมีแนวคิดโอนหนี้ FIDF ให้แบงค์ชาติ กระทรวงการคลัง มีแนวคิดโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ให้ไปอยู่ในบัญชีบริหารหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขยายพื้นที่ทางการคลังในการทำนโยบายเพิ่มขึ้น

รัฐบาลผุดแคมเปญ “NOWThailand” ดันไทยเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนระดับโลก รัฐบาลพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมเดินหน้าเพิ่มอัตราการลงทุนในประเทศไทย โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมดำเนินมาตรการเชิงรุกผลักดันแคมเปญส่งเสริมการลงทุน ภายใต้แนวคิด “NOWThailand” เพื่อชักจูงนักลงทุนว่าไม่มีเวลาใดดีกว่านี้แล้วในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย (การเงินธนาคาร)

ประธาน กสทช.ถกด่วนสั่งคาดโทษ AIS หลังสัญญาณล่ม บริษัทร่อนสารขอโทษพร้อมเยียวยา หลังเกิดเหตุการณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่าย AIS ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติในช่วงเย็นของวันที่ 10 พ.ค. 2567 พร้อมทั้งสั่งการให้บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เข้าชี้แจงสาเหตุภายในวันนี้ โดยต้องคำนวณผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนและเยียวยาโดยทันที (อินโฟเควสท์)

 

CPALL บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 6,319.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,122.7 ล้านบาท เป็นกำไรต่อหุ้นตามงบการเงินรวม มีจำนวนเท่ากับ 0.69 บาท (อีไฟแนนซ์ไทย)

IVL บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) รายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(ปรับปรุง) หรือ Adjusted EBITDA เท่ากับ 366 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 32% ที่มีอยู่ 277 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (Q4/66) และลดลง 2% ที่มี 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบปีต่อปี (Q1/66) (อินโฟเควสท์)

JKN บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ในฐานะ "ผู้บริหารชั่วคราว" เปิดเผยว่า บริษัทจะจัดให้มีการประชุมเจ้าหนี้หุ้นกู้ในวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. ณ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) ห้องมัฆวานรังสรรค์ (อินโฟเควสท์)

VRANDA รายงานกำไรไตรมาส 1/67 โต 413% แตะ 36 ล้านบาท อานิสงส์อัตราการเข้าพักโรงแรมและรีสอร์ทพุ่ง พร้อมการควบคุมต้นทุนมีสิทธิภาพและรับรู้รายได้ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ (ข่าวหุ้น)

WHAUP  บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ 1,047 ล้านบาท และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% yoy และ 62% yoyตามลำดับเมื่อ (อินโฟเควสท์)


ประเด็นติดตาม:   14 พ.ค. US PPI (Apr) / Fed Chair Powell Speech/ 15 พ.ค. US CPI (Apr) /Retail Sales (Apr)

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)