Quantamental บล.เคจีไอฯ “Short covering” อาจจะเป็นตัวพลิกเกมส์ทั้งกระดาน

Quantamental บล.เคจีไอฯ “Short covering” อาจจะเป็นตัวพลิกเกมส์ทั้งกระดาน

ดัชนี SET index ปรับลงแรงระหว่างเดือน เม.ย. และหลุดแนวรับสำคัญ 1,350 จุด ที่เราประเมินไว้ เป็นผลจากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (อิสราเอล - อิหร่าน) มากเกินไป (Overreaction)

อย่างไรก็ดี SET index ดีดกลับไปยืนเหนือแนวราคา 1,350 จุด หลังสถานการณ์ความขัดแย้งฯ ผ่อนคลายลง ดัชนี SET index ปิดลดลง -0.7% MoM ขณะที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นในภาพรวมยังคงอยุ่ระดับที่เบาบางเทียบกับก่อนหน้า ซึ่งเรายังคงประเมินว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้อยู่ในช่วงวัฏจักรสุดท้ายของ Momentum life cycle และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นได้เร็วๆนี้

ตัวพลิกเกมส์; ยอดชอร์ตเซลล์ปัจจุบันเกือบแสนล้านบาท

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มทำการรายงานยอดสถานะคงค้างชอร์ตเซลล์ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งสูงถึงเกือบ 1 แสน้ลานบาท ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยให้มีความผันผวนและ Underperformed ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีล่าสุดทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เตรียมปรับเกณฑ์การชอร์ตเซลล์ใหม่หลายประการ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในช่วงปลาย 2Q67 (คาดเป็นช่วงเดือน มิ.ย.) โดยเกณฑ์ที่สำคัญได้แก่ เกณฑ์ที่เรียกว่า “Uptick rule” ซึ่งจะกำหนดให้การทำธุรกรรมขายชอร์ตต้องทำที่ระดับราคาสูงกว่าราคาตลาดครั้งสุดท้ายรวมทั้งกำหนดให้หุ้นขนาดเล็กที่มี Market cap ต่ำกว่า 7.5 พันล้านบาท และ/หรือ หุ้นที่มีปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อเดือนในช่วง 12 เดือนก่อนหน้า ต่ำกว่า 2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ผลจากเกณฑ์ใหม่เหล่านี้ เรา
ประเมินว่าจะทำให้ความผันผวนในตลาดหุ้นไทยลดลง โดยเฉพาะด้าน Downside ซึ่งตามทฤษฎีการเงินแล้ว ความผันผวนที่ลดลง เท่ากับ ส่วนชดเชยความเสี่ยง หรือ ต้นทุนทางการเงิน ก็จะลดลงตามไปด้วยนำไปสู่ Valuation ที่สูงขึ้นนั่นเอง

 

 

 

ธุรกิจชอร์ตเซลล์ที่จะกดดันราคาหุ้น จะทำให้ได้ยากขึ้นจากเกณฑ์ใหม่ที่จะเริ่มบังคับใช้เร็วๆนี้ นอกจากนี้ผลจากปริมาณการซื้อขาย หรือ สภาพคล่องในระบบ ที่ลดลง เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนไป ทำให้การซื้อคืนเพื่อปิดสถานะชอร์ต หรือ Short covering จะทำให้ยากขึ้น ในภาวะที่ปริมาณการซื้อขายลดต่ำลง ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงหลักที่สำคัญของผู้ทำธุรกรรมขายชอร์ต เราแนะนำให้ดูที่ Short interest ratio หรือ อัตราส่วนที่คำนวณจาก สถานะชอร์ตเซลล์คงค้าง หารด้วยปริมาณซื้อขายหุ้นเฉลี่ยในอดีต โดยสรุปหากมีประเด็นบวกเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ในขณะที่ Valuation ค่อนข้างถูก และปริมาณซื้อขายที่ลดต่ำลงการเกิด Short covering ด้วยมูลค่ามหาศาลกว่า 1 แสนล้าน มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นและเป็นตัวพลิกเกมส์ของตลาดหุ้นไทยได้

Value factor: ยังถูก

i) Modified yield gap (M-yield gap): M-yield gap ล่าสุดเท่ากับ +1.3 จุด ลดลงจากเดิมที่ +2.04 จุด โดย Myield
gap ที่ลดลงหลักๆมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับขึ้น และประมาณการฯปี 2567 ถูกปรับลดลงเล็กน้อย -0.8% MoM อย่างไรก็ดี Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังคงถูกเมื่อเทียบตลาดพันธบัตร

ii) Implied equity risk premium (iERP): iERP ตลาดหุ้นไทย ล่าสุดเท่ากับ 4.17% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.09% ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ต.ค.2563 ทั้งนี้นักวิเคราะห์ทำการปรับประมาณการเงินปันผลปี 2569 ขึ้นราว 1.3% MoM

iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): CAPE ล่าสุด เท่ากับ 16.54 เท่า ลดลงเล็กน้อยจาก 16.65 เท่าในเดือนก่อน ซึ่ง CAPE ล่าสุด เป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 20 เท่า

 

 

สะสมหุ้นไทยต่อ

เรายังคงแนะนำให้สะสมหุ้นไทยต่อเนื่อง เนื่องจากเราประเมิน Downside ต่ำแล้ว โดยปัจจัยบวกที่สนับสนุนได้แก่  i) งบภาครัฐฯที่กำลังจะเร่งการเบิกจ่าย  ii) โอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยน่าจะถูกปิดแล้ว  iii) Downside จากการถูกชอร์ตเซลล์ลดลง นอกจากนี้ เราประเมินมีโอกาสที่นักลงทุนจะทำการปิดสถานะชอร์ต และซื้อคืนหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวหนุนเม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกรณี่ที่ SET index สามารถทะลุผ่านแนวต้านสำคัญๆได้ เราประเมินกรอบแนวต้าน SET index ไว่ที่ 1,410 1,430 จุด / แนวรับ 1,350 จุด

เดือนก่อนหุ้นเด่นในพอร์ตที่เราแนะนำมีอัตราผลตอบแทนติดลบ -1.9% และ -1.2% อิงคำนวณด้วยวิธี Equal weight และ Market cap weight ตามลำดับ (เราคำนวณเงินปันผลที่ XD ในระหว่างเดือน เม.ย.เข้าไปด้วย) ขณะที่ SET index ลดลง 0.7% MoM หุ้นเด่นเดือน พ.ค. อยู่ในตารางที่ 1 หน้าถัดไป

Quantamental บล.เคจีไอฯ “Short covering” อาจจะเป็นตัวพลิกเกมส์ทั้งกระดาน