JUBILE รายงานกำไรปี 65 ตามคาดพร้อมปรับเพิ่มประมาณการปี 66

JUBILE รายงานกำไรปี 65 ตามคาดพร้อมปรับเพิ่มประมาณการปี 66

รายงานผลประกอบการ 4Q65 ที่ 78 ลบ. เป็นไปตามคาดเติบโต 11%QoQ แต่ลดลง 27%YoY : บริษัทรายงานรายได้ 475 ลบ. +12%QoQ แต่ลดลง 20%YoY เนื่องจาก 4Q64 มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 และเปิดเมืองส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคปรับตัวขึ้น

ขณะที่ 4Q65 เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 ทำให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามปกติ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 4Q64 ที่ 46.5% สู่ 48.4% เนื่องจากบริษัทควบคุมต้นทุนและสัดส่วน Product Mix เปลี่ยนแปลง ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เป็นตัวเงินลดลงจาก 141.7 ลบ. ใน 4Q64 เหลือ 134.2 ลบ. เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการตลาด อีเวนท์ และค่าธรรมเนียมธนาคารลดลง ส่งผลให้รายงานกำไร 4Q65 ที่ 78 ลบ. เติบโต 11%QoQ แต่ลดลง 27%QoQ และรายงานกำไรปี 65 ตามคาดที่314 ลบ. เติบโต 40%YoY  

 

-  ปี 66 ผู้บริหารเตรียมปรับปรุงสาขาเดิม 10 สาขาเพื่อเพิ่มยอดขาย : ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั่วประเทศ 130 สาขา โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 1 สาขาในปี 4Q66 และมีแผนปรับปรุงสาขาเดิมอีก 10 สาขาเพื่อขยายพื้ที่เพิ่มจากขนาดเล็กถึงกลางเป็นขนาดใหญ่เพื่อรองรับอุปสงค์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 65 ได้มีการปรับปรุงสาขาเซ็นทรัลพระราม 2 เพื่อขยายพื้นที่จากเคาเตอร์เป็นร้านค้า ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ราว 20-30%ต่อสาขา ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเน้นปรับปรุงสาขาที่มีกำลังซื้อเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น
 

 

 

 

-  ปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 66 เพิ่มขึ้น 2% และ 12% ตามลำดับ : เราปรับเพิ่มประมาณการรายได้ขึ้นจาก 1.87 พันลบ. สู่ 1.91 พันลบ. เติบโต 2% เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวตามการเปิดรับนักท่องเที่ยวและการปรับปรุงสาขาให้เป็นขนาดใหญ่ราว 10 สาขาช่วยหนุนรายได้ให้เพิ่มขึ้น ขณะที่เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวที่ระดับ 50% เนื่องจากการบริหารต้นทุนและ Product Mix ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ เราปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 66 จาก 318 ลบ. สู่ 356 ลบ. เติบโต 12%YoY 

 

-  คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเหมาะสมปี 66 สู่ 29.50 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี PE Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีได้ Prospective P/E ที่ระดับ 14.4 เท่าลดลงจากครั้งก่อนที่ 17.5 เท่า ขณะที่ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 66 จาก 1.83 บาทต่อหุ้นสู่ 2.04 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 66 ลดลงจาก 31.30 บาทสู่ 29.50 บาท ซึ่งราคาเหมาะสมใหม่ที่ประเมินได้สูงกว่าราคาปิดล่าสุดจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยคาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3.2%ต่อปี (บริษัทปรับลด Payout ratio จาก 60% เหลือ 40% ตั้งแต่ปี 63 เพื่อสำรองสภาพคล่องในภาวะ COVID-19 โดยในอนาคตมีโอกาสปรับเพิ่ม Payout ratio สู่ 60%)

 

ความเสี่ยง : เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้กำลังซื้อลดลง
                  : เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องกดดันต้นทุนการผลิต