SCCC ลองกันสักตั้ง…! (13 มกราคม 2566)

SCCC ลองกันสักตั้ง…! (13 มกราคม 2566)

นอกจากธุรกิจจะเป็นไปตามวัฏจักรแล้ว SCCC ยังเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในหลาย ๆ ตลาดที่ดำเนินการอยู่ด้วย ซึ่งภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอน และธุรกิจที่อยู่ในช่วงอิ่มตัว

บริษัทจึงเน้นรักษาสถานะในตลาด, กำลังการผลิต, สภาพแวดล้อม และสภาพคล่อง มากกว่าการขยายธุรกิจ โดยในปัจจุบัน บริษัทประกอบธุรกิจ i) ปูนซีเมนต์ (~75-80% ของ EBITDA) ii) ธุรกิจวัสดุมวลเบา และอื่น ๆ (~10-15%) iii) ธุรกิจคอนกรีต & aggregates (~4-5%) และ iv) ธุรกิจการค้า (~3-5%) โดยตลาดหลัก ๆ ในปัจจุบันได้แก่ ประเทศไทย (60-65% ของยอดขาย) เวียดนาม (15-20%) ศรีลังกา (15-20%) และบังกลาเทศ (3-5%) ในขณะที่ธุรกิจในกัมพูชาทำกำไรให้บริษัท ~5-10% ของกำไรรวม

 

หวังว่าจะฟื้นตัวได้แรงในปี 2567F หลังจากที่ฟุบไปในช่วง 2H65-2566F

ผลประกอบการของ SCCC มีสหสัมพันธ์ด้านบวกกับอัตราการขยายตัวของ GDP ในขณะที่มีสหสัมพันธ์ด้านลบอุปทานใหม่, ราคาถ่านหิน และอัตราค่าระวางเรือ (Figure 9-12) เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในปี 2565F (ประมาณการของเราต่ำกว่านักวิเคราะห์ในตลาด) จะเพิ่มขึ้น 21% YoY เพราะผลการดำเนินงานใน 1H65 มีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยลบใน 2H65 อย่างไรก็ตาม เรายังคงคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในปี 2566F จะลดลง 18% YoY เพราะได้รับผลกระทบเต็มปีจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงแม้ว่าอุปสงค์ปูนซีเมนต์จะแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับแนวโน้มในปี 2567F เราคาดว่า กำไรจะดีดตัวขึ้น 37% YoY เนื่องจากอุปสงค์ปูนซีเมนต์กลับมาอยู่ระดับปกติ และต้นทุนพลังงานลดลงอย่างชัดเจน แม้ว่าราคาขายจะลดลงก็ตาม เราคาดว่า ROE จะกลับขึ้นมาเป็น 8.5%/11.1% ในปี 2566-67F จาก 8.1% ในปี 2565F ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q65F จะลดลงทั้ง QoQ และ YoY

SCCC ลองกันสักตั้ง…! (13 มกราคม 2566)

 

 

มองมุมกลับ – อะไรคือความเสี่ยงที่จะผิดพลาดได้..?

ภาวะแวดล้อมการดำเนินธุรกิจอาจจะทำให้ rerate หรือ derate ก็ได้ เพราะหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีเกินคาด ขณะที่ราคาพลังงานและวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลงชัดเจนก็จะเป็นบวก แต่กลับกันบริษัทอาจจะต้องแบกภาระเพิ่มหากไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนได้มีประสิทธิภาพ และแข่งขันกับคู่แข่ง เรามองว่าโอกาสของบริษัทค่อนไปทางบวก แม้จะเผชิญความท้าทายจากกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น, ต้นทุนที่สูงขึ้น, ค่าครองชีพที่แพง, ความไม่สงบทางการเมือง และกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดในด้าน ESG เราเชื่อว่าเงินเฟ้อที่ลดลง และการเปิดประเทศในวงกว้างจะช่วยหนุนทั้งอัตรากำไร และกำไรสุทธิของ SCCC

 

Valuation and action

เรากลับมาศึกษาหุ้น SCCC ด้วยคำแนะนำ ซื้อ และราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 182 บาท อิงจาก PE ที่ 15.3x (ค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง) ในขณะที่กำไรมีแนวโน้มจะดีดตัวแรงในปี 2567F แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้หุ้นมีความน่าสนใจให้เข้าลงทุน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากเงินเฟ้อที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว เราคิดว่านักลงทุนน่าจะเริ่มเข้าซื้อหลังจากที่มีการประกาศผลประกอบการที่อ่อนแอใน 4Q65F ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดออกมาแล้ว นอกจากนี้ เรายังคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่อัตรา ~4.5% ต่อปีในเดือนกุมภาพันธ์ 2566

 

Risks

ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน, การขยายตัวของเศรษฐกิจ และความเสี่ยงของประเทศ