ไทยพลิกโฉม 'เชื้อเพลิงสีเขียว' เปิดพิมพ์เขียว Biofuel ฉบับใหม่

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ครั้งสำคัญตามกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ (NEP 2024) โดยมีภาคขนส่ง ซึ่งครองสัดส่วนการบริโภคพลังงานสุดท้ายสูงสุดที่ 40.5% เป็นแกนกลางของการปฏิรูป
KEY
POINTS
- ภาครัฐเตรียมประกาศใช้มาตรฐานน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) โดยเริ่มบังคับใช้ที่สัดส่วน 1% ในปี 2569 เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการบิน
- ปรับโครงสร้างเชื้อเพลิงภาคขนส่งทางถนน โดยจะทยอยยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E85 ภายในปี 2570 และผลักดันให้ E20 กับ B7 เป็นเชื้อเพลิงหลัก
- ส่งเสริมการนำเอทานอลส่วนเกินในประเทศมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง SAF ผ่านเทคโนโลยี ATJ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นโอกาสในการส่งออก
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ครั้งสำคัญตามกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ (NEP 2024) โดยมีภาคขนส่ง ซึ่งครองสัดส่วนการบริโภคพลังงานสุดท้ายสูงสุดที่ 40.5% เป็นแกนกลางของการปฏิรูป
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (DEDE) เตรียมประกาศใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) เริ่มต้นที่ 1% ในวันที่ 1 ม.ค. 2569 และจะเพิ่มสัดส่วนไปจนถึง 8% ภายในปี 2579 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้สอดคล้องกับมาตรการ ICAO-CORSIA และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และ Net Zero ในปี 2608 ของประเทศ
การบินสีเขียว พันธกิจระดับโลกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
สุธารี เกียรติมั่น หัวหน้ากลุ่มวิชาการ กองพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ กล่าวว่า การใช้ SAF ถือเป็นหัวใจสำคัญในการลดคาร์บอนในภาคการบิน ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ (ICAO-CORSIA) ภายใต้แผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2024) ได้ตั้งเป้าหมายการใช้น้ำมัน SAF ในปี 2580 ไว้ที่ 675 ล้านลิตร หรือคิดเป็น 1.85 ล้านลิตรต่อวัน (MLPD) ของ Neat SAF
ภาคเอกชนไทยได้ตอบรับต่อทิศทางนี้อย่างรวดเร็ว
- การลงทุนโรงงานผลิต: บริษัทบางจากฯ (Bangchak) กำลังก่อสร้างโรงงานผลิต SAF แห่งแรกของไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน (MLPD) โดยใช้น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว (UCO) เป็นวัตถุดิบหลัก
- ความพร้อมของวัตถุดิบ: ประเทศไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบหลากหลายสำหรับการผลิต SAF ทั้งแบบ HEFA(Hydroprocessed Esters and Fatty Acids) เช่น น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว (UCO) และน้ำมันปาล์มดิบ/บริสุทธิ์ (CPO/PFAD/CSPO) และแบบ ATJ (Alcohol-to-Jet) ซึ่งใช้อีทานอลจากกากน้ำตาล อ้อย หรือมันสำปะหลัง
- การนำร่องใช้งาน: บริษัท OR และ Bangkok Airways ได้ร่วมกันนำร่องใช้ SAF ที่ผลิตในประเทศเป็นครั้งแรกในการบินพาณิชย์
ปรับโครงสร้างเชื้อเพลิงถนน ยุคใหม่ของ E20 และ B7
ในขณะที่การบินกำลังเข้าสู่ยุค SAF ภาคขนส่งทางถนนก็กำลังเผชิญกับการปรับโครงสร้างเชื้อเพลิงขนานใหญ่เช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ความต้องการใช้เชื้อเพลิงทั่วไปลดลง
- การลดชนิดเชื้อเพลิง: แผนกำหนดทิศทางในอนาคตคือการ ลดชนิดของเชื้อเพลิงในภาคขนส่งทางถนน ลง เพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการ
- Main Fuel ใหม่: เชื้อเพลิงหลักในอนาคตจะเปลี่ยนไปใช้ ก๊าซโซฮอล์ E20 (Gasohol E20) และ ไบโอดีเซล B7(Biodiesel B7)
- การทยอยยกเลิก: จะมีการทยอยยกเลิกเชื้อเพลิงรุ่นเก่า เช่น ก๊าซโซฮอล์ 91 (GSH91), ก๊าซโซฮอล์ 95 (GSH95) และ E85 โดยคาดว่าจะ ยกเลิกภายในปี 2570
โอกาสทองของ "เอทานอล" แปรส่วนเกินสู่การส่งออก SAF
การปรับลดเป้าหมายการใช้เชื้อเพลิงบนถนน รวมถึงการยกเลิกน้ำมันบางชนิด ส่งผลให้เกิดการผลิตเอทานอลส่วนเกินจากกำลังการผลิตที่มีอยู่
- กำลังการผลิตส่วนเกิน: ประเทศไทยมีโรงงานเอทานอล 28 แห่ง รวมกำลังการผลิตที่ 6.92 ล้านลิตรต่อวัน (MLPD) ในขณะที่การบริโภคบนถนนในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 3.43 MLPD ทำให้เกิด เอทานอลส่วนเกินมากกว่า 50%
- สร้างมูลค่าเพิ่ม: DEDE จึงมีแนวทางในการ ส่งเสริมธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Businesses) โดยอาศัยเอทานอลที่มีอยู่
- โอกาสการส่งออก: เนื่องจากเทคโนโลยี ATJ สามารถนำเอทานอลมาผลิตเป็น SAF ได้ (โดยต้องใช้เอทานอลประมาณ 1.7 ตัน ต่อ SAF 1 ตัน) ทำให้เอทานอลส่วนเกินนี้กลายเป็นโอกาสสำคัญในการ ส่งออกและรองรับความต้องการ SAF ในประเทศ
แม้ภาคเอกชนจะต้องเร่งปรับตัวทั้งด้านประสิทธิภาพพลังงาน (EE) และพลังงานหมุนเวียน (RE) เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ แต่ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จคือ การสนับสนุนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน







