‘ไมโครพลาสติก’ เปลี่ยนแปลง ‘แบคทีเรียในลำไส้’ มีน้อยลง เป็นกรดมากขึ้น ทำลำไส้อ่อนแอ

ไมโครพลาสติกเข้าร่างกาย ทำให้แบคทีเรียในลำไส้มีน้อยลง เป็นกรดมากขึ้น ลำไส้อ่อนแอ รบกวนการทำงานของกรดอะมิโน
KEY
POINTS
- งานวิจัยยืนยันว่าไมโครพลาสติกเข้าไปรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้สภาพแวดล้อมมีความเป็นกรดมากขึ้น
- ส่งผลให้แบคทีเรียชนิดดี (เช่น บิฟิโดแบคทีเรียม) ลดลง แต่แบคทีเรียที่ก่อการอักเสบ (เช่น เอสเชอริเชีย-ชิเกลลา) กลับเพิ่มขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ความหลากหลายของจุลินทรีย์น้อยลง ส่งผลให้ผนังลำไส้อ่อนแอลง และเสี่ยงต่อการอักเสบได้ง่าย
- นักวิทยาศาสตร์พบไมโครพลาสติกในรกมนุษย์และอุจจาระแรกของทารก ซึ่งชี้ว่าการสัมผัสพลาสติกสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ก่อนคลอด
“พลาสติก” ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น และแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอน มองไปทางไหนก็ต้องเจอกับพลาสติกทั้งสิ้น แต่สิ่งประดิษฐ์เดียวกันนี้กลับปรากฏขึ้นในที่ที่ไม่ควรอยู่ นั่นคือภายในร่างกายมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นคืออนุภาคเล็กจิ๋วเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของแบคทีเรียภายในตัวเรา
ลำไส้ของมนุษย์ไม่ใช่แค่อวัยวะที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร แต่เป็นชุมชนสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียหลายล้านล้านตัวที่ช่วยย่อยอาหาร จัดการระบบภูมิคุ้มกัน และแม้แต่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ เมื่อชุมชนนั้นสมดุล ร่างกายก็จะรู้สึกสบายดี
แต่เมื่อลำไส้ถูกรบกวน ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับพลังงานไปจนถึงอารมณ์มนุษย์ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานหลายปีว่าไมโครพลาสติกอาจรบกวนสมดุลนี้ และตอนนี้พวกเขาได้ยืนยันแล้ว
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยการแพทย์กราซเก็บตัวอย่างอุจจาระจากอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี และนำมาใช้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียในลำไส้ในห้องปฏิบัติการ จากนั้นจึงนำแบคทีเรียเหล่านั้นไปสัมผัสกับพลาสติกที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น โพลีสไตรีน โพลีเอทิลีน และโพลีโพรพีลีน
ผลลัพธ์ที่ได้น่าประหลาดใจ ถึงแม้จำนวนแบคทีเรียทั้งหมดไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่พฤติกรรมของพวกมันเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมเปลี่ยนเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าแบคทีเรียกำลังทำปฏิกิริยา บางชนิดเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางชนิดลดลง
ไมโครพลาสติกเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้
ไมโครพลาสติกไม่ได้ลอยผ่านแบคทีเรียเหล่านั้นไปเฉย ๆ แต่ละชนิดมีปฏิกิริยากับแบคทีเรียแตกต่างกัน บางชนิดเปลี่ยนระดับกรด บางชนิดรบกวนการทำงานของกรดอะมิโนหรือการผลิตพลังงาน
คริสเตียน พาเชอร์-ดอยช์ หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า โดยพิจารณาถึงความซับซ้อนของผลการวิจัยอธิบายว่าความสัมพันธ์ระหว่างอนุภาคพลาสติกและจุลินทรีย์ในลำไส้นั้นไม่ตรงไปตรงมา มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องทั้งงปัจจัยทางเคมีและกายภาพที่ทำงานร่วมกันภายในสภาพแวดล้อมของลำไส้
“ไมโครพลาสติกอาจมีสารเคมีที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อการเผาผลาญของแบคทีเรีย อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการผลิตกรด ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นการตอบสนองต่อความเครียดของแบคทีเรีย จนเปลี่ยนแปลงค่า pH ของลำไส้โดยไม่ได้ตั้งใจ” พาเชอร์-ดอยช์อธิบาย
ในที่สุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เกิดวงจรป้อนกลับที่ส่งผลต่อความสมดุลของไมโครไบโอม
นี่ไม่ใช่งานวิจัยเดียวที่ค้นพบเรื่องทำนองนี้ บทความในปี 2025 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMC Gastroenterology ศึกษางานวิจัย 12 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ และพบว่า “ไมโครพลาสติกทำลายแบคทีเรียในลำไส้”
จำนวนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น บิฟิโดแบคทีเรียม และ ฟาเอคาลิแบคทีเรียมลดลง ขณะที่จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น เอสเชอริเชีย-ชิเกลลา และ บิโลฟิลา มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยความไม่สมดุลดังกล่าวเชื่อมโยงกับภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง การอักเสบเรื้อรัง และความเครียดจากการเผาผลาญ
เรื่องราวยิ่งน่าวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก นักวิทยาศาสตร์ค้นพบไมโครพลาสติกในรกมนุษย์และในขี้เทา อุจจาระแรกของทารกแรกเกิด ซึ่งหมายความว่าการสัมผัสพลาสติกเริ่มต้นขึ้นก่อนคลอด นั่นหมายความว่าอนุภาคเหล่านี้จะผ่านรกและไปถึงทารกในครรภ์ เข้าสู่ระบบสร้างแบคทีเรียตัวแรกอยู่
นอกจาก ไมโครพลาสติกแล้ว ยังมีสารเติมแต่งและสารมลพิษบางชนิดปล่อยสารพทาเลตที่รบกวนฮอร์โมน บางชนิดปล่อยอัลดีไฮด์และไฮโดรคาร์บอนที่ทำลายเซลล์
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกช่วยลดระดับกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาเยื่อบุลำไส้และลดการอักเสบ เมื่อระดับเหล่านี้ลดลง ผนังลำไส้จะอ่อนแอลงทำให้สารอันตรายสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้
ยิ่งพลาสติกมีขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะนาโนพลาสติกซึ่งมีขนาดเล็กพอที่จะลอดผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ สามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อและคงอยู่ที่นั่นได้
ขณะที่ ชิ้นส่วนพลาสติกขนาดใหญ่กว่าไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ลึกเท่า แต่ยังคงรบกวนแบคทีเรียโดยการเปลี่ยนแปลงวิธีการยึดติดกับผนังลำไส้ ชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดมักก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุด แม้ในความเข้มข้นที่ต่ำกว่า
แบคทีเรียหลายชนิดผสมผสานกันในช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่นและภูมิคุ้มกันแข็ง แรง แต่มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า แบคทีเรียชนิดต่าง ๆ มีจำนวนน้อยลงหลังจากได้รับไมโครพลาสติก เช่น PVC, PET และ PLA เข้าสู่ร่างกาย เมื่อความหลากหลายนั้นลดลง ลำไส้จะสูญเสียความยืดหยุ่น ฟื้นตัวช้า อักเสบง่าย มีปัญหาในการป้องกันการติดเชื้อ และทำให้สุขภาพลำไส้แย่ลง
“การค้นพบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการสัมผัสกับไมโครพลาสติกที่แพร่หลายในชีวิตประจำวัน เราพบไมโครพลาสติกในปลา เกลือ น้ำดื่มบรรจุขวด และแม้แต่น้ำประปา ซึ่งหมายความว่าคนส่วนใหญ่สัมผัสกับพลาสติกทุกวันผ่านการกลืนกิน สูดดม และสัมผัสผิวหนัง” พาเชอร์-ดอยช์อธิบาย
พลาสติกมีอยู่ทุกที่ ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด แต่การเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันเล็ก ๆ น้อยๆ ช่วยได้ เช่นการใช้ขวดแก้ว งดใช้ภาชนะแบบใช้ครั้งเดียว และติดเครื่องกรองน้ำดื่ม ทุกขั้นตอนช่วยลดการสัมผัสได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตา
“สิ่งสำคัญคือไมโครพลาสติกส่งผลกระทบต่อไมโครไบโอมของเรา แม้ว่าจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อกล่าวอ้างด้านสุขภาพที่ชัดเจน แต่ไมโครไบโอมมีบทบาทสำคัญในหลายแง่มุมของความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งแต่ระบบย่อยอาหารไปจนถึงสุขภาพจิต ดังนั้นการลดการสัมผัสไมโครพลาสติกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จึงเป็นมาตรการป้องกันที่ชาญฉลาดและสำคัญ” พาเชอร์-ดอยช์ กล่าว
นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบถึงผลกระทบระยะยาวของการสัมผัสไมโครพลาสติก จำต้องมีการศึกษาในวงกว้างและยาวนานขึ้น ซึ่งจะติดตามผู้คนเป็นระยะเวลานานและติดตามสภาวะแวดล้อมจริง
ไมโครพลาสติกไม่ได้ทำลายลำไส้ในชั่วข้ามคืน แต่มันเปลี่ยนรูปร่างของมันอย่างช้า ๆ และเงียบ ๆ เปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโต การสื่อสาร และการทำงานของแบคทีเรีย
เราเคยเข้าใจว่า ลำไส้เป็นระบบที่เสถียรและสามารถแก้ไขตัวเองได้ แต่ในตอนนี้กำลังเจอมลภาวะจากโลกภายนอกที่มีมนุษย์สร้างขึ้น พลาสติกได้เปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าของมนุษย์ และบัดนี้มันกำลังเปลี่ยนแปลงชีววิทยาของมนุษย์ทีละเล็กทีละน้อย
ที่มา: Earth, Interesting Engineering, Independent, Newsweek,







