'ความหลากหลายทางชีวภาพ' ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ-เศรษฐกิจไทย

'ความหลากหลายทางชีวภาพ' ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ-เศรษฐกิจไทย

การสูญเสียธรรมชาติคือความเสี่ยงที่เร่งด่วนไม่แพ้โลกร้อน ย้ำภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนเป้าหมายสู่ 'ฟื้นฟูธรรมชาติสุทธิเป็นบวก' (Nature-Positive) เพื่อความมั่นคงทางซัพพลายเชนและความอยู่รอดในระยะยาว ชี้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาธรรมชาติสูง เสี่ยงสูญเสียรายได้มหาศาลหากไม่ลงมือทำ

KEY

POINTS

  • การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นความเสี่ยงเร่งด่วนต่อธุรกิจและเศรษฐกิจเทียบเท่าปัญหาโลกร้อน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุน
  • เศรษฐกิจไทยพึ่งพาธรรมชาติในระดับสูง โดยเฉพาะภาคเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว จึงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มหาศาลหากธรรมชาติถูกทำลาย
  • ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมายสู่การ "ฟื้นฟูธรรมชาติสุทธิเป็นบวก" (Nature-Positive) ซึ่งไม่ใช่แค่การลดผลกระทบ แต่คือการฟื้นฟูธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน

การสูญเสียธรรมชาติคือความเสี่ยงที่เร่งด่วนไม่แพ้โลกร้อน ย้ำภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนเป้าหมายสู่ 'ฟื้นฟูธรรมชาติสุทธิเป็นบวก' (Nature-Positive) เพื่อความมั่นคงทางซัพพลายเชนและความอยู่รอดในระยะยาว ชี้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาธรรมชาติสูง เสี่ยงสูญเสียรายได้มหาศาลหากไม่ลงมือทำ

วิกฤติคู่ขนาน ธรรมชาติล้ม เศรษฐกิจล้ม

ข้อมูลจาก Nature Positive Initiative ระบุว่าขณะที่โลกกำลังต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นประเด็นแห่งยุคสมัย อีกหนึ่งความท้าทายที่เร่งด่วนไม่แพ้กันกำลังคืบคลานเข้ามาสำหรับผู้นำธุรกิจ นั่นคือ การทำลายล้างของโลกธรรมชาติหรือ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss)

ความหลากหลายทางชีวภาพคือหัวใจสำคัญของธรรมชาติ เป็นแหล่งทรัพยากร บริการ และเสถียรภาพที่ค้ำจุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการสร้างมูลค่าในระยะยาว ซึ่งนี่ไม่ใช่ปัญหาเชิงนามธรรมสำหรับนักการเมืองอีกต่อไป แต่เป็น ความเสี่ยงทางธุรกิจ ความเสี่ยงต่อมนุษย์ และเป็นบททดสอบความเป็นผู้นำสำหรับซีอีโอและคณะกรรมการบริหาร

ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ น้ำสะอาด การควบคุมสภาพอากาศ หรือการผสมเกสร ธุรกิจและสังคมต้องพึ่งพาระบบนิเวศที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งระบบนิเวศเหล่านี้อาศัยความสมดุลและความยืดหยุ่นที่ถูกสร้างมานานนับล้านปี โดยมีสิ่งมีชีวิตนับล้านชนิดทำหน้าที่ที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก หากปราศจากความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ซัพพลายเชนจะสะดุด ต้นทุนจะสูงขึ้น และชื่อเสียงขององค์กรจะเสียหาย

ผู้บริหารระดับสูงที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกอย่าง WWF International และ BirdLife International ยืนยันว่า สุขภาพของระบบนิเวศมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน ความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจ และความเป็นไปได้ของการเติบโตในอนาคต สิ่งที่เคยถูกมองข้ามว่าเป็นเพียง "เรื่องสีเขียว" ได้กลายเป็น "เรื่องของห้องประชุมคณะกรรมการ"

ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอาจฟังดูเป็นปัญหาไกลตัว เช่น การหายไปของปะการังใต้ทะเล หรือกบในป่าลึก แต่วิกฤตนี้กำลังทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

  • ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ: ทั่วโลกประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เกือบครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีความพึ่งพาธรรมชาติและบริการจากธรรมชาติในระดับสูงหรือปานกลาง แต่ในความเป็นจริง เศรษฐกิจทั้งหมดล้วนอยู่บนรากฐานของธรรมชาติ
  • ความเสี่ยงในไทย: รายงานของธนาคารโลกเคยเตือนว่า หากประเทศไทยไม่บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน อาจ สูญเสียรายได้จาก GDP สูงถึง 553,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน พ.ศ. 2593 ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพิงธรรมชาติของเศรษฐกิจไทย เช่น ภาคการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว มีความเสี่ยงสูงจากวิกฤตนี้

การขาดแคลนวัตถุดิบ ซัพพลายเชนที่หยุดชะงัก วิกฤติน้ำ และความไม่มั่นคงทางอาหาร ล้วนเชื่อมโยงโดยตรงกับการเสื่อมถอยของธรรมชาติ เพราะมหาสมุทร ป่าไม้ และพื้นที่ชุ่มน้ำ คือกลไกที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์สร้างขึ้นได้เกือบครึ่งหนึ่ง หากระบบนิเวศเหล่านี้ล่มสลาย การบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกก็เป็นไปได้ยาก

Nature-Positive โจทย์ใหม่สำหรับผู้นำธุรกิจ

เช่นเดียวกับการตั้งเป้าหมาย "ปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์" (Net-Zero Emissions) ภาคธุรกิจจำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย "ฟื้นฟูธรรมชาติสุทธิเป็นบวก" (Nature-Positive) นั่นคือการฟื้นฟูธรรมชาติ และสร้างทุนธรรมชาติให้มากกว่าที่บริโภคไป

สำหรับผู้บริหาร นั่นหมายถึงการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลธุรกิจที่ต้อง ฟื้นฟู (regenerate) ไม่ใช่ทำลาย (deplete) ธรรมชาติ พร้อมไปกับการสร้างความยืดหยุ่นของธุรกิจ สิทธิในการดำเนินงานทางสังคม (Social License to Operate) และผลกำไรในระยะยาว

Nature-Positive ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นเป้าหมายระดับโลกที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้ทางวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกที่ 1.5 องศา โดยหมายถึงการ หยุดยั้งและพลิกกลับ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพให้กลับมาฟื้นตัว ไม่ใช่แค่การชะลอหรือลดการทำลายเท่านั้น

โอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้คือการประชุมประจำปีของ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization - ISO) ณ กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา  ซึ่งจะมีการผลักดันมาตรฐาน ISO ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยคาดหวังว่าจะกลายเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือและการกำหนดทิศทางของการดำเนินการที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ

สำหรับผู้นำธุรกิจในประเทศไทย คำถามจึงไม่ใช่ว่าจะต้องลงมือทำหรือไม่ แต่คือ จะสามารถผนวกความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกลยุทธ์ การรายงาน และการตัดสินใจลงทุนได้เร็วแค่ไหน การตัดสินใจที่กล้าหาญด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวกำหนดว่าบริษัทจะ แค่รอด (survive) หรือ เติบโตอย่างยั่งยืน (thrive) ในโลกที่ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น