'บาซูก้า'อีซีบีเพิ่มคิวอี กดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ0%

'บาซูก้า'อีซีบีเพิ่มคิวอี กดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ0%

“มารีโอ ดรากี้” ประธานธนาคารกลางยุโรป

 หรืออีซีบีใช้ปืนบาซูก้ายิงถล่มเป้าดอกเบี้ยในยูทูบ ได้แถลงปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 0.05% เหลือ 0% และลดดอกเบี้ยเงินฝากลงอีกจาก -0.3% เป็น -0.4% ซึ่งจะมีผลในวันที่16 มีนาคม นอกจากนี้ยังเพิ่มการอัดฉีดคิวอี หรือการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณอีกเดือนละ 20,000 ล้านยูโรเป็นเดือนละ 80,000 ล้านยูโร โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายนนี้และจะสิ้นสุดลงในปี 2017 เพื่อซื้อพันธบัตรขังรัฐบาลประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ สินทรัพย์ทางการเงินของภาคอสังหาริมทรัพย์ และตราสารทางการเงินของแบงก์กับภาคธุรกิจ ท่ามกลางทุกสายตานักลงทุนทั่วโลกจับจ้องที่ “มาริโอ ดรากี้” ที่มีฉายาปืนบาซูก้าได้ประกาศการตัดสินใจนโยบายการเงินของอีซีบีแบบผ่อนคลายสุดโต่งเหนือความคาดหมายของตลาด หลังตื่นตระหนกกับแนวโน้มเงินเฟ้อในปีนี้อาจจะลดลงต่ำที่ 0.1% แทนที่จะเป็น 1% ตามคาดการณ์เดิม โดยแนวโน้มเงินเฟ้อในปีนี้ยังคงห่างจากเป้าหมาย 2% จนเป็นเหตุตื่นกลัวว่าจะกระทบต่อกำลังซื้อหดหายไปจนทำให้เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง โดยเฉพาะเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ตกอยู่ในภาวะติดลบ

บาซูก้าแห่งยุโรป มาริโอ ดรากี้ หนึ่งใน 25 กรรมการของอีซีบีได้พบปะประชุมกันเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ตในเยอรมนี กล่าวย้ำว่ามาตรการผ่อนคลายการเงินในยุคสมัยของเขาจะเป็นการล็อกสเปคไว้เพื่อให้เศรษฐกิจยุโรปเติบโตในทศวรรษต่อไปโดยที่ยุโรปจะกลับมาแข็งแกร่งไดัในปี 2021 หลังจากที่แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปได้สะท้อนถึงความอ่อนแอจากอัตราการเติบโตที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยที่อีซีบีได้ทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ว่าจะมีการเติบโตเพียง 1.4% ในปี 2016 นี้ จากที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 1.7% รวมทั้งอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงที่ 1.7% ในปี 2017 จากที่คาดไว้ 1.9% ส่วนในปี 2018 คงอัตราการเติบโตไว้ที่ 1.8% ขณะที่เงินเฟ้อในปี 2017 ถึงปี 2018 จะอยู่ที่ 1.3% และ 1.6%.ตามลำดับ ปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรปที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบันนั้น ส่งผลต่ออีซีบีในฐานะหนึ่งใน 4 ธนาคารกลางใหญ่ของโลกต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบไม่เป็นปกติ โดยยังไม่สามารถส่งผ่านนโยบายการเงินผ่านกลไกธนาคารพาณิชย์ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้องดึงอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงต่ำและพิมพ์เงินเพิ่มสภาพคล่องให้มีปริมาณมากๆ พร้อมกับเข้าแทรกแซงเพื่อที่จะผลักคิวอีถึงมือธุรกิจและเข้าสู่การใช้จ่ายของประชาชน

หลังจากคำแถลงการณ์ของอีซีบี นักลงทุนในตลาดหุ้นที่เฝ้ารออยู่ มีการรีแอ็คชั่นรุนแรงทางบวก ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นทั้งตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐ โดยเฉพาะดาวโจนส์ ฟิวเจอร์ส พุ่งขึ้นเป็นเลข 3 หลักมากกว่า 150 จุด แต่บรรยากาศซื้อขายกลับผันผวนในท้ายที่สุดตลาดหุ้นสหรัฐปิดในทิศทางที่ติดลบ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปขานรับการซื้อขายเชิงบวกเป็นสีเขียวยกแผง แต่ผ่านพ้นไปไม่นาน ราคาหุ้นกลับดิ่งลงอย่างรวดเร็วนำโดยดัชนีหุ้น DAX ของเยอรมนีดิ่งลงถึง 500 จุดในระหว่างชั่วโมงซื้อขาย เนื่องจากนักลงทุนในเยอรมนีเกิดความไม่มั่นใจและคาดว่าจะเกิดคลื่นขึ้น-ลงของราคาหุ้นที่ทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงนับจากนี้ไปโดยมาจากมาตรการผ่อนคลายการเงินของอีซีบีในรอบนี้นั่นเอง ส่งผลลูกโซ่ถึงตลาดหุ้นทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศสดิ่งฮวบลงตาม แม้ว่าช่วงต้นของการซื้อขายได้ทะยานขึ้นก็ตาม แต่ก็ดิ่งตัวลงในแดนลบเมื่อปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนบรรยากาศหุ้นได้กระเตื้องกลับมาครึ่งทางในการเปิดตลาดซื้อขายช่วงเช้าวันศุกร์ตามเวลาในยุโรป โดยผลพวงของมาตรการอีซีบีได้ส่งผลเชิงจิตวิทยาให้ตลาดหุ้นเอเชียพลิกบวกตั้งแต่เปิดตลาดรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีดัชนีปิดที่ 1,393.41 บวก 14.35 จุดหรือ 1.04% และมีมูลค่าซื้อขายกว่า 49,000 ล้านบาท

แต่สำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่นั้น ความผันผวนน่าจะยังเพิ่มขึ้น ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นโดยเฉพาะต้องเฝ้าระวังไปด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่ปกติเพื่อป้องกันความผันผวน โดยที่ธนาคารกลางของประเทศตลาดเกิดใหม่อาจต้องเข้าแทรกแซงมากขึ้นทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และการควบคุมเงินทุนหากจำเป็น เพราะนับวันความไม่แน่นอนและความสับสนในตลาดการเงินจะมีเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่ทรงอิทธิพลทั้งธนาคารกลางสหรัฐ อังกฤษ ยุโรป และญี่ปุ่น หลังจากปี 2008 เป็นต้นมา มีการดำเนินการที่ตอบสนองตลาดการเงินและการลงทุนโดยใช้มาตรการพิเศษ ที่ทำให้ต้องละเลยจากวินัยการเงินในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินเหมือนอย่างในอดีต โดยที่มีคำพูดของอดีประธานธนาคารกลางสหรัฐคนหนึ่งที่ การอัดฉีดคิวอีเข้าสู่ตลาดการเงินโลกเปรียบเหมือนกับทำให้มีการเสพโคเคนและเฮโรอีน เพื่อช่วยกระตุ้นตลาดการเงินโลก ซึ่งจะไม่ช่วยเศรษฐกิจที่แท้จริงให้กลับมาฟื้นตัวแต่อย่างใดเลย