จากพูดคุยสันติสุขถึงคุกลับ ทุกเรื่องต้องโปร่งใส

จากพูดคุยสันติสุขถึงคุกลับ ทุกเรื่องต้องโปร่งใส

ยุคนี้เป็นยุคแห่งความโปร่งใส ก็ขนาด ครม. (คณะรัฐมนตรี) และ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ที่ตั้งมาจาก คสช.

(คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ที่มาจากการปฏิวัติ ยึดอำนาจ หรือรัฐประหารตามแต่จะเรียกกัน...ยังต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน

ความจริงข้อนี้มันก็ชัดที่สุดแล้วว่าบ้านเมืองของเราจะงุบงิบๆ ทำอะไรกันโดยประชาชนเจ้าของประเทศไม่ยินยอม...ไม่ได้อีกต่อไป!

การพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เริ่มเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วหลังนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวหัวหน้าคณะพูดคุยเดินทางไปพบ"ผู้อำนวยความสะดวก"ที่มาเลเซียแบบไม่เป็นข่าว

พอเรื่องที่ตั้งใจไม่ให้เป็นข่าว เกิดเป็นข่าวขึ้นมา ก็มีการออกมาปฏิเสธกันวุ่นวาย...

ถามว่าจะมีความลับไปเพื่ออะไร เพราะสมัยนี้มีกล้องดิจิทัล กล้องบนโทรศัพท์มือถือ มีโซเชียลมีเดีย ใครไปไหน พบกับใครแทบจะปิดกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

จะไปก็ไป กลับมาก็มาเปิดแถลง หรือส่งเอกสารข่าวให้สื่อและสังคมได้รับทราบ ทุกอย่างก็จบ ไม่ใช่ทำกันลับๆ ล่อๆ แอบไป พอกลับมามีข่าวว่าไป ก็บอกว่าไม่ได้ไป

ถ้าท่านไปแล้วกลับมา ส่งเอกสารแจ้งข่าวนิดหน่อยว่าไปแค่แนะนำตัว ทุกอย่างก็จบ และยังเป็นการยืนยันด้วยลายลักษณ์อักษรว่าสิ่งที่คุยกันระหว่างแนะนำตัว สมมติว่า เช่น ตั้งสำนักงานขับเคลื่อนการพูดคุยในไทยกันไหม มาเลเซียจะมาร่วม ฯลฯ แบบนี้ก็จะเข้าใจตรงกันว่าเป็นข้อเสนอฟุ้งๆ ไม่มีการยอมรับเป็นลายลักษณ์อักษรใดๆ จะมาคาดคั้นกันภายหลังไม่ได้

ที่สำคัญ การพูดคุยเที่ยวนี้เป็นการพูดคุยหลังจากการคุยอย่างเปิดเผยสุดๆ ในรัฐบาลชุดที่แล้ว (ที่มีพล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตรอดีตเลขาธิการ สมช.เป็นหัวหน้าคณะ) การพูดคุยคราวนี้จึงทำแบบ"ปิดลับ"ได้ยาก

แน่นอนว่าการพูดคุยเที่ยวนี้ดูดีกว่าปีก่อน เพราะมีหลักการกว่า นายกรัฐมนตรีก็ดูจะรู้เท่าทันเกมแห่งการพูดคุยเจรจาพล.อ.อักษรา เกิดผลหัวหน้าทีมก็มีความรู้ความสามารถ ภาษาอังกฤษดีเยี่ยม มีกรรมการจากทุกภาคส่วน มีความเหมาะสมทุกด้าน ก็เหลือแต่ด้านการประชาสัมพันธ์ที่ควรทำอย่างเป็นระบบเสีย ทุกอย่างก็จบ

ก่อนจะมีเรื่องแอบไปมาเลย์ ก็มีเรื่องรองนายกฯไปอินโดนีเซียปรากฏเป็นข่าวมาแล้ว พอกลายเป็นข่าวก็มาต่อว่าสื่อไทยที่รายงานข่าวและตั้งข้อสังเกต ทั้งๆ ที่สื่อไทยไม่ได้คิดเอง แต่สื่ออินโดนีเซียเขารายงานว่ามีการไปขอให้รองประธานาธิบดีของเขาช่วยแก้ปัญหาภาคใต้

ฉะนั้นถ้าทุกอย่างโปร่งใส มีการบอกกล่าวกัน จะไปจะมาก็รายงานประชาชนเจ้าของประเทศ รายงานเจ้าของเงินภาษีอากรที่ทำให้ท่านได้บินไปโน่นไปนี่เสียหน่อย ก็คงจะดีไม่น้อย

อีกเรื่องคือเรื่อง"คุกลับ"ตามรายงานของคณะกรรมาธิการประจำวุฒิสภาสหรัฐ ด้านความมั่นคงและข่าวกรอง ซึ่งถูกสื่อมะกันประโคมโยงถึงไทยว่าเป็นสถานที่ตั้ง"คุกลับ"

เรื่องนี้ถ้าไม่มีจริงๆ ขอแนะนำให้ท่านเปิดค่าย เปิดสถานที่ที่คนเขาสงสัยให้ตรวจสอบกันไปเลย ไม่ใช่พอมีเรื่องคุกลับทีก็ปฏิเสธกันที แล้วก็พูดกันแค่ลมปาก รัฐบาลทหารหรือรัฐบาลพลเรือนก็ไม่ต่างกัน

สมมติว่า"ค่ายรามสูร"ที่อุดรธานีถูกตั้งข้อสงสัย ก็เปิดให้สื่อเข้าไปเยี่ยมชมกันเลย มีตรงไหนที่สงสัยเป็นคุกลับได้ ก็เปิดให้ดูกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องตอบคำถามซ้ำๆ อีก และน่าจะเป็นน้ำหนักมากพอในการทำหนังสือไปสอบถามหรือชี้แจง หรือทักท้วงต่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาสหรัฐที่เปิดเรื่องนี้ขึ้นมา

ปัญหา"คุกลับ"เป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ยิ่งอ้างว่าเป็นคุกซ้อมทรมานสมาชิกอัลกออิดะห์ ยิ่งอ่อนไหวสุดๆ เพราะตลอด 10 ปีมานี้เรามีปัญหาความไม่มั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ ประกอบกับการเติบโตขยายตัวของ"กลุ่มไอเอส"ในประเทศรอบบ้านไทย ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์

ข่าวแบบนี้เคลียร์ให้โปร่งใสก็จะดี อย่าให้มองว่าเป็นลูกน้องพี่เบิ้ม หรือพี่ใหญ่ในเวทีโลก เพราะนาทีนี้พี่เบิ้มเองก็จะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน!