สีจิ้นผิงปราบ 'เสือ' โจวหย่งคัง : จะปราบโกงต้องจับปลาตัวใหญ่
เดิมมีคนสงสัยว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนจะกล้า จับปลาตัวใหญ่ อย่าง โจวหย่งคัง (周永康
อดีตเป็นหนึ่งใน 9 คนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศหรือไม่?
วันนี้แน่ชัดแล้วว่าผู้นำจีนต้องการพิสูจน์ว่า คำประกาศที่จะปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ใหญ่แค่ไหนก็จับ และ “จับทั้งแมลงวันและเสือ” นั่นใช่แค่เป็นวาทกรรมฟังดูไพเราะเท่านั้น แต่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย
โจวหย่งคังไม่เพียงแค่ถูกจับและตั้งข้อหาคอร์รัปชันอย่างรุนแรงเท่านั้น
ยังถูกขับไล่ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ถือเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ และไม่มีโอกาสได้ฟื้นทางการเมืองและสังคมอีกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าสีจิ้นผิงเชื่อมั่นในฐานอำนาจของตนเองอย่างยิ่ง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา บอกผู้นำธุรกิจสหรัฐ ที่วอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สีจิ้นผิง เป็นผู้นำจีนที่รวบอำนาจทางการเมืองเร็วกว่าทุกคนที่ผ่านมา ตั้งแต่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นใหญ่เมื่อ 30 ปีก่อน
โจวหย่งคังเคยเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุด ทางด้านความมั่นคงภายในของจีน เป็นหนึ่งใน 9 สมาชิกกรมการเมือง (Politburo) เกษียณไปเมื่อ 2 ปีก่อนโดยที่ไม่มีใครเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะโดนข้อหาหนักหน่วงเช่นนี้
เพราะวันนี้เขากลายเป็นผู้นำจีนระดับสูงสุดที่ถูกข้อหาคอร์รัปชัน และไล่ออกจากพรรคอย่างไม่ไว้หน้า และไม่มีการต่อรองเกี้ยเซี๊ยะแต่ประการใด
ลูกเมียและพรรคพวกของเขาที่ถูกกล่าวหาว่าอาศัยตำแหน่งและอิทธิพลของเขา ล้วนถูกกวาดล้างพร้อมกันหมด
ตั้งแต่ขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองสูงสุดในประเทศเมื่อสองปีก่อน สีจิ้นผิง ต้องการแสดงว่าเขาจะจัดการเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกระดับอย่างจริงจัง
การจะทำอย่างนั้นได้ เขาต้องแน่ใจว่าจะไม่ถูกลองของ ไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ภายในพรรค ที่จะต่อต้านหรือโค่นเขา เพราะเขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคดิจิทัล ไม่อาจจะปกครองด้วยอำนาจแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องสร้างศรัทธาด้วยการกวาดล้างความฉ้อฉลโดยเฉพาะในระดับสูงให้ได้
หาไม่แล้ว คนรุ่นใหม่ของจีนก็จะไม่ยอมรับอำนาจแต่เพียงพรรคเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์ และนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของพรรค และประเทศจีนอาจต้องเจอกับการแตกสลาย เหมือนอดีตสหภาพโซเวียตเคยเจอมาแล้ว
ทุกวันนี้ จีนมีประชากร 1.3 พันล้านคน แต่ที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีเพียง 83 ล้านคนเท่านั้น แปลว่าคนส่วนใหญ่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่มีความภักดีต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และเมื่อข่าวสารไหลเทอย่างรวดเร็วและกว้างขวางในยุค social media เช่นนี้ พรรคไม่อาจจะปกครองด้วยการปกปิดข้อมูล หรือสั่งการด้วยอำนาจแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ต้องไม่ลืมว่าเมื่อ 65 ปีก่อน คนจีนยินดีปรีดากับการเกิดของจีนใหม่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ เพราะเชื่อว่าโกงน้อยกว่าพรรคชาตินิยมของเจียงไคเช็ค และมีความมุ่งมั่นเรื่องสร้างความเป็นธรรมในสังคมมากกว่าระบอบทุนนิยม
แต่วันนี้ทุนนิยมกำลังเฟื่องฟูในจีน ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างขึ้นทุกขณะ ขณะที่คอร์รัปชันก็กลายเป็นวิถีชีวิตประจำวัน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนถูกมองว่า เป็นเครื่องมือสร้างความร่ำรวยส่วนตัวให้กับผู้มีตำแหน่งแห่งหน และผู้นำส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าจัดการกับคนโกงจริงเพราะตัวเองมีส่วนได้เสียกับระบบที่เน่าเฟะนั้นด้วย
วันนี้ สีจิ้นผิงต้องการพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอำนาจฉ้อฉล แต่เพียงแค่ประกาศว่าจะปราบคอร์รัปชันเท่านั้น คนจีนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ (แม้จะไม่มีการทำโพลล์เหมือนเมืองไทย) ต้องทำให้เห็นเป็นประจักษ์จริง ๆ เท่านั้น
จริงเห็นว่าเขากำลังรื้อพรรคเพื่อให้สามารถปกครองประเทศในยุคดิจิทัล ด้วยการจับเจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่ว่าจะเป็นในกองทัพ รัฐวิสาหกิจยักษ์ ๆ และแม้กระทั่งองค์กรสื่อทางการอย่าง CCTV และไม่ว่าจะเป็นในเมืองหลวงปักกิ่งหรือต่างจังหวัด
อีกทั้งใครที่โกงเงินหลวงแล้วหนีออกไปนอกประเทศ สีจิ้นผิง ก็กำลังจะลากตัวกลับมาดำเนินคดีเพื่อให้เห็นว่า ไม่มีใครหลบหลีกกฎหมายและอำนาจของพรรคได้
งานนี้ “สีไม่ยอมทน” ครับ