มีเหตุต้องวุ่นเมื่อปักกิ่ง"ล็อกสเปค" ตำแหน่งผู้ปกครองเกาะฮ่องกง
เหตุปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ประท้วงหลายหมื่นคน ที่ฮ่องกงเมื่อวันอาทิตย์ ตอกย้ำถึงความตึงเครียด ระหว่างคนฮ่องกง
กับรัฐบาลกลางของจีนที่ปักกิ่ง
ตำรวจปราบจลาจลยิงแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย และใช้ไม้กระบองพยายามสลายการชุมนุม แต่ผู้ประท้วงปักหลักสู้อย่างสันติ เพราะต้องการเพียงแค่สิทธิที่จะเลือกตั้งจากผู้สมัครอย่างเสรี
โดยไม่ยอมให้รัฐบาลกลางที่ปักกิ่งเป็นคนกำหนด ว่าใครมีสิทธิจะเสนอตัวเป็นผู้บริหารสูงสุดของเกาะฮ่องกงบ้าง
วันเสาร์ที่ผ่านมาตำรวจบุกจับนักเรียนนักศึกษา ที่รวมตัวกันประท้วงทั้งกลางถนนและผละห้องเรียน เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้าน การที่รัฐบาลปักกิ่งไม่ยอมให้คนฮ่องกงเลือกผู้บริหารของตนเองอย่างเสรี
ตำรวจฮ่องกงจับผู้ประท้วงไป 61 คน อายุตั้งแต่ 16 ถึง 35 หลังจากที่ผู้ต่อต้านบุกเข้ายึดที่ทำการราชการ เพื่อยืนยันว่าต้องการจะให้ปักกิ่งผ่อนปรนกติกาเรื่องประชาธิปไตย
ฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่คนฮ่องกงมีความตื่นตัวทางการเมืองด้านประชาธิปไตยสูงมาตลอด และแม้อังกฤษจะยกฮ่องกงกลับคืนให้จีนเมื่อปี ค.ศ.1997 แต่ก็มีตกลงว่าจะยอมให้ฮ่องกงปกครองตนเองอย่างเสรี เพื่อปกปักรักษาความเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการเงิน
ฮ่องกงเป็นระบบทุนนิยมเต็มตัว ขณะที่จีนยังคงความเป็นคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะเริ่มขยับมาทางทุนนิยมมากขึ้น แต่ระบบการเมืองปักกิ่งก็ยังเป็นพรรคเดียวคือคอมมิวนิสต์
คนฮ่องกงมีความภาคภูมิใจในการไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ ผู้นำจีนรับปากรับคำว่าจะยอมให้ฮ่องกงปกครองตนเอง แต่ขอให้การเลือกตั้งผู้ปกครองฮ่องกงผ่านการ “กรอง” ของรัฐบาลกลางเสียก่อน
นี่คือปัญหาของความขัดแย้งที่คุกรุ่นมาตลอด และเมื่อปักกิ่งประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่าในการเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดในปี 2017 นั้นรายชื่อผู้สมัครจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐบาลกลางที่ปักกิ่งเสียก่อน
คนฮ่องกงได้ยินเช่นนั้นก็โวยทันทีว่า อย่างนี้จะเรียกประชาธิปไตยได้อย่างไร และหากใครจะสมัครต้องผ่านการตรวจสอบของปักกิ่ง ก็หมายความว่าคนที่รัฐบาลจีนไม่ชอบ ก็จะไม่มีสิทธิเสนอตัวเป็นผู้บริหารของเกาะแห่งนี้กระนั้นหรือ?
ปักกิ่งบอกว่ารัฐบาลกลางไม่ได้ตัดสินเอง แต่จะมีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นคนฮ่องกง เป็นผู้ตรวจทานและอนุมัติรายชื่อผู้สมัคร
แต่คนฮ่องกงจำนวนมากรวมตัวกันเพื่อจะบอกว่า คณะกรรมการที่ว่านี้ถูกเลือกโดยรัฐบาลกลาง และส่วนใหญ่เป็นคนจากแวดวงธุรกิจที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อปักกิ่งทั้งสิ้น
อย่างนี้ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่ามีความเป็นประชาธิปไตย หรือมีความโปร่งใสตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น
กลุ่มประท้วงไม่ใช่มีแต่เพียงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในภาคประชาชนที่แข็งขันเท่านั้น แต่เป็นครั้งแรกที่นักเรียนมัธยมหลายพันคน ประกาศไม่ยอมเข้าห้องเรียนตั้งแต่ 22 กันยายน เพื่อร่วมในการแสดงความไม่พอใจรัฐบาลกลาง
วันเสาร์ที่ผ่านมาเกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ประท้วง ที่เข้าไปยึดสถานที่ราชการ ภาพที่ออกหน้าจอทีวีเห็นตำรวจกระชากลากถูผู้ประท้วง และผู้ประท้วงปะทะกับตำรวจอย่างรุนแรง จนมีเสียงร้องเรียนว่าตำรวจทำเกินเหตุ ขณะที่ตำรวจอ้างว่าผู้ประท้วงทำผิดกฎหมาย ในการเข้าไปยึดครองสถานที่ราชการ และแม้จะมีการเตือนกันล่วงหน้าก็ไม่เกิดผลแต่อย่างไร
กลุ่มประท้วงเรียกการเข้ายึดสถานที่ราชการนี้ว่าขบวนการ Occupy Central และเชิญชวนคนฮ่องกงทั่วเกาะไปร่วม “งานเลี้ยงประชาธิปไตย” วันที่ 1 ตุลาคม (เมื่อวานนี้) ซึ่งตรงกับวันชาติจีน
แกนนำของกลุ่มต่อต้านบอกว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ เพื่อให้ศูนย์กลางธุรกิจของฮ่องกงเป็นอัมพาต อันเป็นกลยุทธ์กดดันรัฐบาลฮ่องกง และปักกิ่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้จีนยอมเปิดทางให้การเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดของเกาะแห่งนี้เป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใสและเคารพในสิทธิของคนฮ่องกงที่ไม่ต้องการให้ปักกิ่งมาชี้นิ้วสั่งการ
ตอนที่จีนรับฮ่องกงกลับจากอังกฤษเมื่อ 17 ปีก่อน ปักกิ่งในยุคของ เติ้งเสี่ยวผิง ประกาศใช้ระบบ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” นั่นหมายถึงการยอมให้ฮ่องกงปกครองแบบเดิมต่อไป จนกว่าจะตกลงรวมกันเป็นหนึ่งทางด้านการเมือง
แต่เมื่อปักกิ่งยืนยันว่าตนต้องมีสิทธิอนุมัติว่า ใครจะสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดได้ คนฮ่องกงจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ก็ชี้นิ้วกลับไปที่ปักกิ่งว่า “อย่างนี้ไม่ใช่หนึ่งประเทศ สองระบบแล้ว”
เขากลัวกันว่าจีนแผ่นดินใหญ่ต้องการจะ “กลืน” ฮ่องกงเป็นระบบเดียวเพื่อให้อยู่ใต้พรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น
หากปักกิ่งไม่ถอย เกาะฮ่องกงก็ไม่อาจสงบได้