ทุนมนุษย์ยุคใหม่ทำงานร่วมหุ่นยนต์ เวียดนามตัวเร่งโรบอตภาคการผลิต

เวิล์ดแบงค์ เปิดรายงาน จี้จุดจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเปิดรับความท้าทายจากเทคโนโลยีและหุ่นยนต์กำลังเคาะประตูพร้อมเข้าสู่ระบบการผลิตทำการจ้างงานเปลี่ยนรูป ระบุเวียดนาม จีน ตัวเร่งการใช้หุ่นยนต์เติบโตเด่น ขณะที่ไทยเคยเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านเมื่อครั้งในอดีตเท่านั้น
KEY
POINTS
อุปสรรคจากราคาหุ่นยนต์ภาคผลิตสูง
รายงานระบุว่า หุ่นยนต์มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดในภาคส่วนที่มีค่าจ้างสูง แต่ถ้าหากว่าหุ่นยนต์ที่ใช้ในภาคยานยนต์มีราคาแพงกว่าหุ่นยนต์ในภาคส่วนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า เช่น ยางและพลาสติก ประมาณ 10 เท่า ก็จะทำให้อุตสาหกรรมเลือกที่จะนำหุ่นยนต์ที่มีราคาถูกว่ามาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น ในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่นำหุ่นยนต์ไปใช้งานในอุตสาหกรรมยางและพลาสติก ขณะที่ในจีน มาเลเซีย และไทย การนำหุ่นยนต์มาใช้ขยายไปสู่ภาคอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
การวิเคราะห์ใน Arias et al (2025) สำหรับ 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม) พบว่าการนำหุ่นยนต์มาใช้ช่วยเพิ่มการจ้างงานและผลิตภาพจากแรงงาน ตรงกันข้ามกับหลักฐานจากเศรษฐกิจขั้นสูง ยกตัวอย่างเช่น ในเวียดนาม การนำหุ่นยนต์มาใช้เพิ่มขึ้นหนึ่งตัวต่อแรงงานหนึ่งพันคน ทำให้อัตราการจ้างงานโดยรวมเพิ่มขึ้น 6-9% และค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2-4%
อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์เหล่านี้ยังไม่ได้รับการแบ่งปันอย่างเท่าเทียมกัน ภูมิภาคอาเซียน 5 แห่งที่มีการนำหุ่นยนต์มาใช้มากขึ้น พบว่ามีการจ้างงานและรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับแรงงานที่มีการศึกษาสูง แต่ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานที่มีการศึกษาน้อยที่สุดกลับต่ำกว่า
ไร้ดีมานด์แรงงานไร้ทักษะ-อายุมาก
ระหว่างปี พ.ศ. 2561 ถึง พ.ศ. 2565 การนำหุ่นยนต์มาใช้ในอุตสาหกรรมสร้างงานให้กับแรงงานที่มีทักษะในระบบประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง แต่ก็ทำให้แรงงานที่มีทักษะในระบบต่ำ 1.4 ล้านคน ทั้งในงานประจำและงานที่ใช้แรงงานทั่วไป
จากการศึกษาอาเซียนทั้ง 5 ประเทศพบว่า ผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากแรงงานหุ่นยนต์และเทคโนโลยีสมัยใหม่คือ แรงงานรุ่นใหม่ เช่น วิศวการ ที่มีทักษะการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ ในทางตรงกันข้าม แรงงานจำนวนมากที่ไม่มีทักษะ หรือมีอายุมากต้องหลีกหนีไปจากสายการจ้างงานหลักๆ
ผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศอาเซียนทั้ง 5 ที่นำหุ่นยนต์มาใช้ต้องเผชิญกับข้อได้เปรียบเชิงการผลิตในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย แต่กลับทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นจากต้นทุนการผลิตใหม่หลังนำหุ่นยนต์มาใช้ ดังนั้น สายการผลิตจึงต้องหันไปเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในแง่ต้นทุนและราคาจำหน่าย ปรากฎการณ์นี้เห็นได้ชัดจากจีนและเวียดนาม ที่มีอัตราการใช้หุ่นยนต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับการส่งออกที่เติบโตสูงและการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่สูงตามไปด้วย
จีดีพีเวียดนามนำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ในรายงานได้สรุป คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกว่าในปี 2568 จะเติบโต 4.8% โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำด้วยอัตราการเติบโต 6.6% ตามด้วยมองโกเลีย (5.9%) และฟิลิปปินส์ (5.3%) ขณะที่จีน กัมพูชา และอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตที่ 4.8% เท่ากัน ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโต 2.7% และประเทศไทย 2.0%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2569 การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจะชะลอลงสู่ 4.3% ปัจจัยหลัก ได้แก่ มาตรการจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนในระดับโลกที่แม้จะลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยังคงพึ่งพามาตรการกระตุ้นทางการคลังมากกว่าการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
คาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับภาวะความขัดแย้งของการจ้างงานคือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอสมควร แต่กลับมีการสร้างงานที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ “การปฏิรูปที่กล้าหาญยิ่งขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดและการแข่งขันของภาคธุรกิจ จะช่วยเปิดทางเอกชนเข้าถึงเงินทุนและช่วยให้ธุรกิจมีศักยภาพและผลิตภาพที่สูงขึ้นซึ่งนั่นคือหนทางไปสู่การจ้างงานใหม่ๆ"
เอเชียแปซิฟิกและไทยกำลังเผชิญกับความย้อนแย้งทางเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไขด้วยการปฎิรูปเชิงโครงสร้างทันที่ นั่นก็เพราะว่า ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและยอดค้าปลีกยังคงขยายตัว แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด และท่ามกลางการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง แต่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงตกต่ำ ท่ามกลางการส่งออกมีการเร่งตัวขึ้นก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้า (tariff) แต่ยอดซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ๆยังอ่อนแอ

ภาคการผลิตไม่ว่าจะในหน่วยของการเกษตร หรือ อุตสาหกรรม ต่างเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะนั่นคือแหล่งจ้างงานซึ่งหมายถึงต้นทางเม็ดเงินที่จะเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่เทคโนโลยี และหุ่นยนต์กำลังทำให้เครื่องจักรตัวนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไป แรงงานที่เคยทำงานในส่วนนี้จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
รายงานอัพเดทเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific Economic Update) ประจำเดือนต.ค. 2568 ของธนาคารโลก สาระสำคัญส่วนหนึ่งเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและการลงทุนในทุนมนุษย์รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคบริการ ซึ่งต้องมีนโยบายที่สอดคล้องระหว่างโอกาสการจ้างงานและทักษะของแรงงานด้วย
แรงงานต้องมีทักษะเอไอ-โรบอต
“ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิทยาการหุ่นยนต์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล กำลังทำให้บริษัท แรงงาน และผู้กำหนดนโยบายต้องมีทักษะ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวที่สูงขึ้น”รายงานระบุ
อาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานและการส่งออกของเอเชียตะวันออกช่วยยกระดับผู้คนนับพันล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาแต่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายคู่ขนาน ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้า (trade protection) และการแทนที่แรงงานด้วยระบบอัตโนมัติ (job automation)
“การปฏิรูประบบธุรกิจ และการพัฒนาการศึกษา จะสามารถสร้างวัฏจักรที่ดีและเหมาะสมระหว่าง ‘โอกาส’ และ ‘ศักยภาพ’ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตที่สูงขึ้นและงานที่ดีกว่า”
ปัจจุบันการจ้างงานในประเทศสมาชิกเอเชียและแปซิฟิก หรือ EAP ส่วนใหญ่อาจได้รับผลกระทบจากหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
เพราะเประเทศสมาชิก EAP ส่วนใหญ่มีการจ้างงานที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและงานส่วนใหญ่ก็ใช้แรงงานเข้มข้นเป็นหลัก ขณะที่การจ้างงานที่ต้องใช้ทักษะด้านความคิดต่างๆนั้นมีอยู่น้อย
ไทย-มาเลเซียใช้ระบบอัตโนมัติก่อนใคร
โครงสร้างการจ้างงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆ ในช่วงอดีตที่ผ่านมาเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ในทางตรงกันข้ามพบว่าสถานการณ์การจ้างงานภาคบริการกลุ่มประเทศเหล่านี้ค่อนข้างอ่อนแอ ทั้งที่การทำงานหลักๆในปัจจุบันหลายอย่างอาจจะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติซึ่งติดที่อุปสรรคสำคัญคือระบบอัตโนมัติยังมีราคาและต้นทุนที่สูงอยู่
ดังนั้น หากหุ่นยนต์มีราคาแพงเกินไปและแรงงานยังมีราคาถูกมาก ทำให้บริษัทต่างๆไม่นำหุ่นยนต์มาใช้ ทั้งที่หุ่นยนต์มีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจในการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคในบทบาทที่มากขึ้น ซึ่งต้นทุนและความสามารถของหุ่นยนต์จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละประเทศ
“มาเลเซียและไทยเป็นผู้บุกเบิกการนำหุ่นยนต์มาใช้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่จีนและเวียดนามมีการใช้งานหุ่นยนต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและแซงหน้าประเทศสมาชิก EAP อื่นๆ ในปี พ.ศ. 2565 จีนมีหุ่นยนต์ประมาณ 12 ตัวต่อแรงงานภาคการผลิต 1,000 คน และเวียดนามมี 8 ตัว แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 17 ตัวในประเทศที่มีรายได้สูง”







