ส่องแผนรัฐบาล ‘บริหารหนี้สาธารณะปี 69’  ก่อหนี้ใหม่ 1.2 ล้านล้าน เร่ง 16 รัฐวิสาหกิจเพิ่มลงทุน

ส่องแผนรัฐบาล ‘บริหารหนี้สาธารณะปี 69’  ก่อหนี้ใหม่ 1.2 ล้านล้าน เร่ง 16 รัฐวิสาหกิจเพิ่มลงทุน

รัฐบาลอนุทินปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2569 เพิ่มวงเงินก่อหนี้ใหม่รวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาทเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

KEY

POINTS

  • รัฐบาลอนุทินปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2569 เพิ่มวงเงินก่อหนี้ใหม่รวมกว่า 1.2 ล้านล้าน
  • หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งรองรับการบริหารหนี้เดิมของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น 
  • พร้อมจัดทำแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปี (พ.ศ. 2569–2573) รวม 7.1 แสนล้านบาท ครอบคลุมกว่า 141 โครงการลงทุนด้านคมนาคม พลังงาน และสาธารณูปโภค
  • พร้อมเร่งรัดให้ 16 รัฐวิสาหกิจหลัก เดินหน้าเบิกจ่ายและขยายการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าเมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2569 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ

ครม.ได้รับทราบแนวทางการจัดทำแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงประมาณ  2569  โดยอยู่บนหลักการว่ารัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่าน การกู้เงินเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และ การกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐโดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาถึงนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพคล่องของตลาดการเงินภายในประเทศเพื่อรองรับการกู้เงินตามแผนฯ ในปีงบประมาณ  2569 และได้พิจารณากำหนดกลยุทธ์ในการบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium-Tern Debt Management Strategy: MTDS) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2573 เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ และสภาวะตลาดการเงินที่มีความผันผวนสูง เพื่อกำกับการบริหารหนีสาธารณะให้อยู่ในกรอบต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561

ทั้งนี้ แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2569 ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม 1,207,306.75 ล้านบาท โดยเป็นแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม 1,876,915.14 ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงินรวม 503,056.95 ล้านบาท  

โดยในส่วนของแผนการก่อหนี้ใหม่ 1,207,306.75 ล้านบาท ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล วงเงิน 1,116,482.53 ล้านบาท ประกอบด้วย รัฐบาลกู้มาใช้โดยตรง วงเงินรวม 951,423.53 ล้านบาท ได้แก่ เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2569 ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ วงเงิน 8.6 แสนล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 ที่มีการขยายเวลาเงินออกไปภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณสำหรับการเบิกจ่ายกันเหลือมปี (ตามมาตรา 21 ของ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2568 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (ตามมาตรา 22และ 23 ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ)

กู้ชดเชยงบประมาณ 8.6 แสนล้าน

คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นควรบรรจุโครงการลงทุนของส่วนราชการในแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2569 จำนวน 2 หน่วยงาน วงเงินรวม  11,423.53 ล้านบาท ได้แก่เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปี 2569 (ตามาตรา 20) ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะวงเงิน 8.6 แสนล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปี 2568 ที่มีการขยายเวลาเงินกู้ออกไปภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณสำหรับการเบิกจ่ายกันเหลื่อมปี (ตามมาตรา 21 ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) 8 หมื่นล้านบาท

และการกู้เงินเพื่อดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม (ตามมาตรา 22 และ 23 ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ) เพื่อใช้ในกระทรวงสาธารณสุขวงเงิน 6,873.55 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท วงเงิน 4,550 ล้านบาท

รัฐบาลกู้มาให้รัฐวิสาหกิจกู้ต่อ 5.1 หมื่นล้าน

ในส่วนของวงเงินที่รัฐบาลกู้มาให้กู้ต่อวงเงินรวม 51,641 ล้านบาท ประกอบด้วย การกู้เงินเพื่อให้การรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อจำนวน 2 โครงการวงเงินรวม 15,289.83 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 1,789.8 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) วงเงิน 1.35 หมื่นล้านบาท

การกู้เงินเพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อ จำนวน 7 โครงการ วงเงินรวม 36,351.17 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) 8,900 ล้านบาท

2.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 450 ล้านบาท

3.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร 1,500 ล้านบาท

4.โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 1.3 หมื่นล้านบาท

5.โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร-นครพนม 1 หมื่นล้านบาท 

6.โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต 1,301.17 ล้านบาท

7.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 1,200 ล้านบาท

สำหรับรัฐบาลกู้มาเพื่อบริหารสภาพคล่องเงินคงคลัง (ตาม มาตรา 20 (1/1) และ มาตรา 21/1 แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) วงเงิน 113,518 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังมีแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ (หนี้ในประเทศ) มีรัฐวิสาหกิจ 16 แห่ง วงเงินรวม 89,952.48 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดได้แก่ แผนเงินกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา มีรัฐวิสาหกิจ 11 แห่ง วงเงินรวม 39,806.04 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน วงเงิน 2,587.02 ล้านบาท และเงินกู้ ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน วงเงิน 36,914.02 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการกู้เงินได้แก่

รฟท. 880 ล้านบาท การเคหะแห่งชาติ (กคช.) 700 ล้านบาท  การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 6,600 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 5,000 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 1 หมื่นล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) 2,194.22 ล้านบาท การประปานครหลวง (กปน.) 6,300 ล้านบาท  การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) 970 ล้านบาท บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (DCAP) 1,427.80 ล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) 4,427 ล้านบาท

กู้เงินสำหรับเป็นทุนหมุนเวียน 5 หมื่นล้าน

และแผนเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการ หรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการดำเนินกิจการทั่วไป มีรัฐวิสาหกิจ 11 แห่ง วงเงินรวม 50,146.84 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน วงเงิน 27,511.50  ล้านบาท และเงินกู้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน วงเงิน 22,635.34 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

กคช. 1,940 ล้านบาท  กฟน.3,500 ล้านบาท กฟภ.1 หมื่นล้านบาท รฟท.18,000 ล้านบาท บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) 2,930 ล้านบาท บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (DCAP) 115.34 ล้านบาท บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) 500 ล้านบาท   บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) 1,150 ล้านบาท สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) 2,500 ล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 9,111.5 ล้านบาท องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) 400 ล้านบาท

แผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ (หนี้ในประเทศ) มีหน่วยงาน 1แห่ง กู้เงินโดยเป็นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) วงเงิน 871.34 ล้านบาท

แผนกู้เงินระยะปานกลาง 5 ปี 7.1 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ครม. ได้รับทราบการจัดทำแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปี (ปีงบประมาณ 2569 - 2573) เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะในระยะปานกลาง โดยมีโครงการลงทุนรวม 141 โครงการ และวงเงินลงทุนรวม  710,603.95 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการในสาขาคมนาคมขนส่งสาขาพลังงาน สาขาสาธารณูปการ และสาขาอื่นๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปีเดิม ซึ่งมีโครงการลงทุนรวม 108 โครงการ และวงเงินลงทุนรวม 776,046.74 ล้านบาท พบว่ามีจำนวนโครงการที่ปรับเพิ่มขึ้น จำนวน 33 โครงการ และวงเงินลงทุนรวมที่ปรับลดลง จำนวน 65,442.79  ล้านบาท

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ มีความเห็นให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดำเนินการล่าช้า เพื่อเพิ่มการลงทุนของภาครัฐในระยะต่อไป