‘ไทย’ ลุยห่วงโซ่ ‘แรร์เอิร์ธ’ ‘ต่างชาติ’ลงทุนโรงแต่งแร่

“ต่างชาติ”ปักหลักลงทุนโรงงานแต่งแร่หายาก นำเข้ามาแต่งแร่แม้ไม่มีเหมือง หนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรมแร่หายากและแม่เหล็ก ตอบโจทย์ EV อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
KEY
POINTS
- Neo Magnequench จากแคนาดาได้ลงทุนตั้งโรงงานใน จ.นครราชสีมา เพื่อผลิต “แม่เหล็กถาวร” จากแร่หายากสำหรับ EV-อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญแห่งเดียวของบริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- บทบาทของไทยในห่วงโซ่การผลิตคือการเป็นผู้ผลิตระดับกลาง โดยนำเข้าแร่หายากมาผ่านกระบวนการแต่งแร่เพื่อเพิ่มมูลค่าแล้วส่งออก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์ต่อปี
- การมีทั้งโรงงานผลิตแม่เหล็กและฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (เช่น BYD) ในประเทศ ช่วยสร้าง "อุปสงค์ภายในประเทศ" และเสริมความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนในภูมิภาค
- รัฐบาลไทยกำลังจัดทำแผน “อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด” เพื่อพัฒนาการแปรรูปแร่หายากและอุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร รองรับการเติบโตของ EV และพลังงานสะอาด
- ไทยมีแผนลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูปแร่และรีไซเคิลแม่เหล็ก รวมถึงสำรวจแหล่งแร่ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์และยกระดับอุตสาหกรรมให้ครบวงจร
ปี 67 กำลังการผลิตแร่หายากพุ่ง 261% บริษัท Neo Magnequench สัญชาติแคนาดา ลงทุนนครราชสีมา “อุตสาหกรรม” หนุนพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูป รีไซเคิลแร่หายาก ลดการพึ่งพาการนำเข้า หนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
ประเทศไทยเริ่มขยับบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรม “แร่หายาก” (Rare Earth Elements: REE) หลังข้อมูลล่าสุดชี้ว่าปี 2567 มีกำลังการผลิตสูงถึง 13,000 เมตริกตัน เพิ่มขึ้น 261% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า และมากกว่า 13 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2561
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมต้นน้ำด้านวัสดุเทคโนโลยีสูง ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้ประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลทางการที่ครอบคลุมทุกแหล่งเหมือง โดยข้อมูลกรมทรัพยากรธรณีระบุว่า แร่หายากส่วนใหญ่ในประเทศพบในพื้นที่ “ระนอง-ตะกั่วป่า-พังงา-สงขลา” เป็นแร่โมนาไซต์และ ซีโนไทม์ ซึ่งมักเกิดร่วมกับการทำเหมืองดีบุกและแร่หนักชายหาด
สำหรับประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศผู้ผลิตแร่หายากระดับกลางของโลก มีการส่งออกโลหะหายากและออกไซด์รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ทั้งนี้ หนึ่งในโรงงานสำคัญที่เชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต คือ โรงงาน Neo Magnequench จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Neo Performance Materials จากแคนาดา ผู้ผลิตวัสดุแม่เหล็กหายากชั้นนำของโลก โดยใช้แร่ธาตุหายาก (เช่น นีโอไดเมียมและพราซิโอดีเมียม) ในการผลิต “แม่เหล็กถาวร” สำหรับมอเตอร์ขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
สำหรับโรงงานแห่งนี้ถือเป็นฐานการผลิตสำคัญแห่งเดียวของบริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม Neo Magnequench มีศักยภาพผลิตแม่เหล็กดังกล่าวหลายพันตันต่อปี เพื่อป้อนให้ผู้ผลิตยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในเอเชีย ซึ่งรวมถึง ผู้ประกอบการในไทยที่เริ่มตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเช่น แบรนด์ BYD ที่ได้มีการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในจังหวัดระยอง มูลค่าการลงทุนกว่า 486 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือน ก.ค.2567
นอกจากนี้ การที่ไทยมีทั้งฐานผลิตแม่เหล็ก (Neo Magnequench) และฐานประกอบยานยนต์ไฟฟ้าที่มาจาก BYD และผู้ผลิตญี่ปุ่น และยุโรป จะทำให้เกิด “อุปสงค์ภายในประเทศ” ต่อวัสดุแม่เหล็กและแร่หายากเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อการผลิต EV ของไทยเข้าสู่ระดับ 1 ล้านคันต่อปี ตามเป้าหมายรัฐบาล
อีกทั้ง ความพยายามของไทยในการสำรวจแหล่งแร่หายากใหม่ รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูปแร่และรีไซเคิลแม่เหล็กเก่าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์และลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมจากการขุดแร่โดยตรง
ไทยนำเข้าแร่หายากมาเข้าโรงแต่ง
“แม้ไทยจะไม่มีเหมืองแร่ (rare earth) แต่จากตัวเลขที่มีการส่งออกนั้น ก็เนื่องมาจากการนำแร่เข้ามาแต่งแล้วส่งออกเพื่อเพิ่มมูลค่า ดังนั้น เมื่อดูข้อมูลผลผลิตไทยยังถือว่าน้อยมาก"
แหล่งข่าว กล่าวว่า รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการจัดทำแผน “อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Tech Industry Roadmap)” ที่รวมถึงแนวทางพัฒนาแร่หายาก การแปรรูปขั้นกลาง และการใช้ในอุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร เพื่อรองรับการขยายตัวของ EV และอุปกรณ์พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” ให้ไทยก้าวสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
“แร่หายากถือเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ของอนาคต ไทยมีศักยภาพในเชิงสำรวจและผลิตในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีแยกและแปรรูป ซึ่งจะช่วยยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมแม่เหล็กและพลังงานสะอาดของประเทศให้ครบวงจร”
หนุนสร้างซัพพลายเชนแร่หายาก
แหล่งข่าว กล่าวว่า สำหรับ Neo Magnequench ในจังหวัดนครราชสีมา ถือว่าอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ หรือใกล้ภูมิภาคอาเซียน เป็นจุดได้เปรียบในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ และตอบสนองตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เร็วกว่า โดยการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม EV เมื่อ BYD หรือผู้ผลิต EV รายอื่น ๆ ตั้งโรงงานในไทย จะเพิ่มโอกาสการสั่งซื้อชิ้นส่วนแม่เหล็กภายใน “ซัพพลายเชน” ในภูมิภาค
อีกทั้ง ยังได้รับรางวัลจาก EcoVadis, ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นจุดขายในการสร้างชื่อเสียงให้เป็นผู้ผลิตที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Neo มีแผนที่จะเพิ่มกำลังผลิตแม่เหล็กและ assemblies ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จจะช่วยให้ตอบสนองความต้องการโลกในยุค clean energy ได้ดีขึ้น
ส่วนความท้าทายและความเสี่ยงของ Neo ยังมีเรื่องต้นทุนวัตถุดิบ โดยแร่หายากมีการขึ้นราคาหรือมีปัจจัยทางภูมิศาสตร์อาจทำให้ต้นทุนสูง โดยเฉพาะการแข่งขันจากจีนหรือผู้ผลิตรายอื่น เนื่องจากจีนยังเป็นผู้ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ของโลก การแข่งขันด้านราคาหรือเทคโนโลยีอาจกดดัน
อีกทั้ง ด้านเทคโนโลยี สิทธิบัตรและนวัตกรรม ที่ต้องพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เหนือกว่า และรักษาความเป็นเจ้าของเทคโนโลยี รวมถึงข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม การขออนุญาตและกฎระเบียบ
สำหรับการผลิตแร่หายากมักมีการจัดการของเสีย การใช้สารเคมี ที่อาจมีแรงกดดันจากกฎหมายหรือชุมชนรวมถึง ความไม่แน่นอนของตลาด และความผันผวนราคาสินค้าแบบพรีเมียม เพราะหากตลาด EV ชะลอ หรือต้นทุนโลหะหายากลดลง ก็อาจส่งผลกระทบ
“Neo ยึดแนวทางไม่เป็นเจ้าของแร่ต้นน้ำ (ไม่เน้นเหมือง) มากเท่ากับการประมวลผลและผลิตแม่เหล็ก ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของตลาดเหมืองแร่และต้นทุนทุนสูงในเหมือง”
จีนมีปริมาณสำรองแร่หายากมากที่สุด
ข้อมูลจาก USGS (United States Geological Survey) ระบุว่า ในปี 2024 จีนมีสำรองแร่หายากรวมกว่า 44 ล้านตัน REO (Rare Earth Oxides) คิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของแหล่งสำรองทั่วโลก ซึ่งรวมกันราว 90 ล้านตัน ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีสำรองเพียง 1.9 ล้านตัน ทำให้ยังคงพึ่งพาการนำเข้าแร่จากจีนเป็นหลัก
มาตรการล่าสุดจากรัฐบาลจีน ซึ่งกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขอใบอนุญาตพิเศษจากกระทรวงพาณิชย์ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอาวุธที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้อย่างมาก
สำหรับประเทศที่มีแหล่งแร่หายากสำรองมากที่สุดในโลก (ข้อมูลปี 2024) ในหน่วย ตันของ Rare Earth Oxides (REO) ดังนี้
1. จีน มีสำรอง 44,000,000 ตัน REO
2. บราซิล มีสำรอง 21,000,000 ตัน REO
3. อินเดีย มีสำรอง 6,900,000 ตัน REO
4. ออสเตรเลีย มีสำรอง 5,700,000 ตัน REO
5. รัสเซีย มีสำรอง 3,800,000 ตัน REO
6. เวียดนาม มีสำรอง 3,500,000 ตัน REO
7. สหรัฐ มีสำรอง 1,900,000 ตัน REO
8.กรีนแลนด์ มีสำรอง 1,500,000 ตัน REO
9. แทนซาเนีย มีสำรอง 890,000 ตัน REO
10.ืแอฟริกาใต้ มีสำรอง 860,000 ตัน REO
11. แคนาดา มีสำรอง 830,000 ตัน REO
12. ไทย มีสำรอง 4,500 ตัน REO
ส่วนเมียนมา ไม่มีข้อมูลบันทึก และข้อมูลนี้รวมแร่กลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanides) และอิทเทรียม (Yttrium) แต่ไม่รวมสแกนเดียม (Scandium)







