ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีแข่งขันเอสเอ็มอีไตรมาส3ทรุด เหตุยอดขาย-สภาพคล่องลด

ม.หอการค้าไทย ดัชนีความสามารถแข่งขัน SMEs ไตรมาส 3 ปี 68ดัชมีค่าเท่ากับ 43.2 ซึ่งต่ำกว่า50 สะท้อนความไม่เชื่อมั่น คาดหวังอานิสงส์มาตรการกระตุ้นศก.ปลายปี
นายวชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจSMEsของไทยประจำไตรมาสที่ 3 /2568 ว่า หอการค้าไทยจัดทำดัชนีดังกล่าวขึ้นเพื่อ วัตถุประสงค์ 2 เรื่องคือ1.ประเมินขีดความสามารถการแข่งขัน SMEs เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของธุรกิจ SMEs ไทย ว่ามีความสามารถ เพียงพอที่จะแข่งขัน และอยู่รอดในโลกธุรกิจได้หรือไม่ อย่างไรและ2. ประเมินสถานภาพของธุรกิจ SMEs เพื่อทำการระบุจุดอ่อน และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ พร้อมทั้งเสนอและแนวทาง loop pการปรับปรุงแก้ไขธุรกิจ SMEs มีความพร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
โดยแบ่งการสำรวจออกเป็น 3 ดัชนีย่อยคือ ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs,ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจและดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ SMEs โดยหากดัชนีมีค่ามากกว่า50 ถือว่าสถานการณ์ของผู้ประกอบการ SMEs มีแนวโน้มขยายตัว ดัชนีมีค่าเท่ากับ50ถือว่า สถานการณ์ของผู้ประกอบการ SMEs มีแนวโน้มทรงตัว และดัชนีมีค่าต่ำกว่า 50 ถือว่า สถานการณ์ของผู้ประกอบการ SMEs มีแนวโน้มแย่ลง
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า ในไตรมาสที่3/2568 ดัชนีทั้ง 3 รายการ คือ ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจ และดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ มีค่า เท่ากับ 43.0 ,43.4 และ 43.3 ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันโดยรวมมีค่าเท่ากับ 43.2 ซึ่งต่ำกว่า50 ชี้ให้เห็นว่า เอสเอ็มอีมีแนวโน้ม แย่ลง และยังขาดความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ
โดยธุรกิจรายย่อย มีค่าดัชนีต่ำสุดที่ 41.4 รองลงมาคือ ธุรกิจขนาดย่อม 44.5 และธุรกิจขนาดกลาง 45.8 และเมื่อแยกตามประเภทธุรกิจพบว่าภาคการผลิตมีค่าดัชนีต่ำสุดที่ 41.9 รองลงมาคือ ภาคบริการ 43.3 และภาคการค้า 44.6
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงทัศนะต่อประโยชน์ที่คาดว่าผู้ประกอบการ SMEs จะได้รับจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยมีคะแนนเต็มที่ 5 คะแนน จะพบว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ 4.53 คะแนนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ทัวร์ไทยคนละครึ่ง ได้ 4.46 คะแนน
การแก้ปัญหาหนี้รายบุคคลไม่เกิน 1 แสนบาท ได้ 4.31 คะแนน การเพิ่มสภาพคล่องให้ SME รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ได้ 4.35 คะแนน การพัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม ได้ 4.27 คะแนน การเพิ่มทักษะ Reskill และโครงการ Fast Plus Pass ได้ 4.29 คะแนน และการแก้ปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า ได้ 4.30 คะแนน
นายวชิร กล่าวว่า SMEs มีความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น(Quick Big Win) ของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัสและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการและช่วยกระตุ้นยอดขายของธุรกิจ รวมทั้งมาตรการมาตรการช่วยเหลือลดปัญหาหนี้ และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเสนอขอให้รัฐบาลเร่งขยายระยะเวลาโครงการและมาตรการต่างๆ ของภาครัฐโดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบการSMEs เพิ่มโอกาสการเข้าถึง สินเชื่อ เพิ่มโอกาสการอนุมัติ และวงเงินกู้ที่สูงขึ้น ,ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ลดภาระหนี้ และเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน ,ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งจัด อบรม และเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยีและความรู้ทางการเงินแก่ภาคธุรกิจ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากค่าดัชนีความสามารถในการแข่งขันที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ชี้ให้เห็นว่าSMEsไทย ยังขาดความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ มองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่สดใส โดยผู้ตอบมองว่า องค์ประกอบดัชนีด้านต่างๆ ยังมีการปรับลดลง โดยเฉพาะ ยอดขาย รายได้ และสภาพคล่อง ขณะที่ต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรเท่าเดิม
และเมื่อจำแนกตามประเภทธุรกิจพบว่า ภาคการผลิตมีค่าดัชนีความสามารถแข่งขันต่ำที่สุด เนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งSMEsไทยเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนรองลงมาคือภาคบริการ และภาคการค้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงแนวโน้มดัชนีความสามารถในการแข่งขันในอนาคตส่วนใหญ่มีความคาดหวังว่าจะปรับตัวดีขึ้นได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทั้งคนละครึ่งและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ







