สหรัฐโชว์ เจรจา‘กัมพูชา'ข้อตกลงReciprocal Tradeคืบหน้าแต่อเมริกาต้องมาก่อน

สหรัฐโชว์ เจรจา‘กัมพูชา'ข้อตกลงReciprocal Tradeคืบหน้าแต่อเมริกาต้องมาก่อน

หลังสหรัฐการประกาศอัตราภาษีต่างตอบแทนReciprocal Tax แล้วเมื่อก.ค.ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าต่างๆก็ยังไม่สงบนิ่งเสียทีเดียว

เพราะ ยังมีรายละเอียดเงื่อนไขอัตราภาษีต่างๆที่ต้องเจรจากันต่อไป เช่น แหล่งกำเนิดสินค้า รวมไปถึงมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ หรือ Transshipment  ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในขั้นการเจรจาและยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมปรากฎเป็นสาธารณะ หลังไทยได้อัตราภาษีต่างตอบแทนที่ 19% เช่นเดียวกับกัมพูชา ที่ตอนนี้มีการประกาศความคืบหน้าแล้ว 

เว็บไซด์ผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ ยูเอสทีอาร์เผยแพร่เมื่อ 10 ต.ค.2568 ระบุว่า จามีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ให้การต้อนรับ ฯพณฯ ซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อยืนยันความคืบหน้าที่สำคัญของข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐ-กัมพูชา  (U.S.–Cambodia Agreement on Reciprocal Trade) 

ทั้งนี้ คณะเจรจาของสำนักงานการค้าสหรัฐ และกัมพูชาได้เจรจากันอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี ระหว่างการประชุมที่มีประสิทธิผล 

โดยเอกอัครราชทูตเกรียร์ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อนโยบายการค้าอเมริกาต้องมาก่อน ( America First Trade Policy) ซึ่งรวมถึงการสร้างความมั่นใจว่าแรงงานและธุรกิจอเมริกันจะมีสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันในการแข่งขัน และการแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าซึ่งเป็นภัยอัตรายของสหรัฐ

“การเจรจากับกัมพูชาเมื่อวานนี้ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นธรรมและต่างตอบแทนมากขึ้น รวมถึงการสร้างพันธกรณีที่จะทำลายอุปสรรคทางการค้าและภาษีศุลกากรที่มีมายาวนาน"

สำหรับ ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกและธุรกิจให้กับเกษตรกร ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ แรงงาน และธุรกิจอเมริกัน ควบคู่ไปกับการปกป้องผู้ผลิตในประเทศสหรัฐ

“ผมขอขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี จันทอล สำหรับความเป็นผู้นำและความร่วมมือกับสหรัฐในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีของเรา และหวังว่าจะได้ร่วมมือกันต่อไป”

ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัว เปิดเผยว่ารายงานจากกรมศุลกากรและสรรพสามิต ระบุว่า กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่าประมาณ 2.239 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) เพิ่มขึ้น 12.9%  จาก 1.983 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

“สำหรับ5 ประเทศปลายทางส่งออกหลักของกัมพูชาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สหรัฐเวียดนาม จีน ญี่ปุ่น และแคนาดา”

ในส่วน สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า สินค้าสำหรับเดินทาง จักรยาน ยางรถยนต์ และผลผลิตทางการเกษตรที่มีศักยภาพ เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กล้วย มะม่วง และลำไย

อย่างไรก็ตาม ด้านการนำเข้าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ พบว่า กัมพูชามียอดนำเข้ารวม 2.461 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.6%  จาก 2.11 หมื่นล้านดอลลาร์ ช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยรายการนำเข้าหลัก ได้แก่ น้ำมันและก๊าซ วัตถุดิบสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าและสินค้าเดินทาง ยานพาหนะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยา และสินค้าอุปโภคบริโภค

สำหรับประเทศไทยล่าสุด นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่14 ต.ค.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในที่ประชุม ครม.ให้แต่งตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ร่วมกับรัฐมนตรีจาก 6 กระทรวง

ทั้งนี้เพื่อบูรณาการ การทำงานให้การเจรจากับสหรัฐในเรื่องภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs)จบลงในเวลาอันเหมาะสม โดยการเจรจาภาษีการค้าสหรัฐให้เร่งเจรจาลดภาษีให้ต่ำกว่าหรือไม่เกิน 19% รวมทั้งหารือในมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อคุ้มครองภาคส่งออก ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การจ้างงานของไทยให้ไม่ได้รับผลกระทบ