ถึงเวลา ‘ยกเครื่อง’ เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ‘ดิสรัป’ พ้นกับดักรายได้ปานกลาง

ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้อง "ยกเครื่อง" เศรษฐกิจครั้งใหญ่ "ดิสรัป" ให้พ้น "กับดักรายได้ปานกลาง" ดันไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว
KEY
POINTS
- เสนอให้ "ยกเครื่อง" หรือปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบ เนื่องจากโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมไม่สามารถทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และภาวะเติบโตต่ำได้
- เปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตรสู่เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) ที่ใช้เทคโนโลยี และเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและแก้ปัญหาหนี้
- สร้างอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ที่ใช้เทคโนโลยี และทักษะสูง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ BCG เพื่อสร้างงานที่มีรายได้สูง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเร่งด่วนผ่านการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อฟื้นฟูกำลังซื้อ และลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ปัญหาสำคัญที่สุดของไทยคือ ไม่สามารถหลุดพ้นจากหลาย “กับดัก” โดยเฉพาะกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งทำให้ไทยไม่สามารถขยับสู่ระดับประเทศรายได้สูงได้ ถึงแม้ว่าธนาคารโลกจะจัดให้ไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง มาตั้งแต่ปี 2554
ในขณะที่ไทยยังเผชิญกับดักหลายด้านทั้งกับดักหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะถัดไป กับดักทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และขาดเสถียรภาพที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
รวมถึงกับดักคอร์รัปชันที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างมานาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวฉุดรั้งที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ และทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้นำเสนอประเด็น Out of the trap ในวาระที่ครบรอบ 38 ปี เพื่อนำเสนอแนวทางการพ้นจากกับดักต่างๆ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วงมากจากที่เคยเป็น “ว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” ปัจจุบันเติบโตต่ำสุดในอาเซียน และอยู่ภาวะ “คนป่วย” ของเอเชีย จากการเติบโตของ GDP ที่เฉลี่ยไม่ถึง 2% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เป็นอัตราต่ำกว่าศักยภาพ และสวนทางประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตก้าวกระโดด
ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญที่กดทับเศรษฐกิจไทยมาจากหลายมิติ แต่หนึ่งในตัวฉุดรั้งที่ชัดเจนสุด คือ “กับดักหนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงขึ้นน่าตกใจ โดยแตะระดับ 90% ของ GDP และหากรวมหนี้นอกระบบจะสูงถึง 104% ของ GDP หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่มีภาระหนี้สินสูงกว่ารายได้ทำให้กำลังซื้อในประเทศแทบไม่เหลือ
“เงินเดือน 100 บาท ต้องใช้หนี้ไปแล้ว 90 บาท ส่วนอีก 10 บาทที่เหลือยังไม่พอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน” นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทยปัจจุบันมี 2 ปัจจัยหลักคือ 1. การติดกับดักอุตสาหกรรมเก่าที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และ 2. การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือ จำนวนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลสูงขึ้น ขณะที่อัตราการเกิดของเด็กใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
มองอีก 30-40 ปี คนไทยลดลงครึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตสูงกว่าอัตราการเกิดใหม่เป็นครั้งแรก หากปล่อยเช่นนี้อีก 30-40 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงครึ่งจาก 67 ล้านคน เหลือเพียง 30 กว่าล้านคน ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจรุนแรงเช่นเดียวกับหลายประเทศที่ประสบปัญหาเดียวกัน
สำหรับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพราะแรงงานวัยทำงานลดลง ขณะที่แรงงานสูงอายุมี Productivity หรือประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจะเป็นภาระคนรุ่นใหม่ และเป็นสาเหตุให้ไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมานานกว่า 30 ปี
“ประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลางคือ ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนอยู่ระดับปานกลาง และพัฒนาสู่ประเทศรายได้สูงไม่ได้ ในอดีต 50-60 ปีที่แล้ว ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมทำให้มีรายได้ต่อหัวต่ำมากอยู่กลุ่มประเทศยากจน แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรม รายได้ต่อหัวสูงขึ้นแต่ยังติดระดับรายได้ปานกลาง”
รวมทั้งปัจจุบันรายได้ต่อหัวคนไทยอยู่ที่ 7,000 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี จากที่เคยอยู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงที่กำหนดไว้ที่ 13,925 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี หรือ 490,000 บาทต่อหัวต่อปี
ถึงเวลายกเครื่องเศรษฐกิจทั้งระบบ
นอกจากนี้ไทยเพิ่งขยับมาแค่ครึ่งทางของการเป็นประเทศรายได้สูง หากยังใช้โมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมต่อจะไม่มีทางหลุดพ้นจากจุดนี้ได้ และยังคงย่ำอยู่กับที่อีกนาน ดังนั้น จึงต้อง “ดิสรัปชัน” หรือการปฏิรูปตัวเองครั้งใหญ่ด้วยการ “ยกเครื่อง” ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด
สำหรับเครื่องยนต์สำคัญที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ New S-Curve มาทดแทนอุตสาหกรรมเก่าที่ล้าสมัย และหมดแรงขับเคลื่อนแล้ว และเพื่อแก้ไขปัญหาวงจรหนี้ และผลักดันเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตอีกครั้งจึงขอเสนอแนวทางปฏิรูปที่ต้องทำเร่งด่วน โดยเฉพาะการ “ยกเครื่องเศรษฐกิจ” ทั้งระบบ อาทิ
1.เปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตร โดยส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) ที่ใช้เทคโนโลยี เช่น AI, IoT และโดรน เพื่อเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุน และเปลี่ยนจากการขายวัตถุดิบไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-added Products) เช่น อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
2.สร้างอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) พัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ต้องใช้เทคโนโลยี และทักษะสูง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งจะจ้างงานอัตราค่าแรงสูงขึ้นทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และบริหารจัดการหนี้สินได้ดีขึ้น
3.แก้ไขปัญหาหนี้เร่งด่วน โดยเสนอให้รัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะสั้น เช่น การพักชำระหนี้หรือลดภาระหนี้ (Haircut) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และฟื้นฟูกำลังซื้อภายในประเทศ
แก้หนี้ครัวเรือนแก้ปัญหาเกษตรกร
ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนกดทับเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้ประชาชนระวังใช้จ่าย อีกทั้งสถาบันการเงินเพิ่มความระวังปล่อยสินเชื่อ และเมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มต้นทุนให้อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs ที่มีกำไรต่ำทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ และต้องปิดกิจการที่สุด
สำหรับรากปัญหาหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่อยู่ภาคเกษตรกรรมที่เป็นอาชีพคนไทยเกือบ 20 ล้านคน แต่มีสัดส่วน GDP เพียง 7-8% โดยมาจากผลผลิตการเกษตรที่ราคาต่ำ ผันผวน และต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอน และยากที่จะหลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน ขณะที่คนหนุ่มสาวในชนบทเลือกเข้าเมืองใหญ่เพื่อหางานทำเพราะไม่เห็นอนาคตในอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม
นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้ายว่า หากประเทศไทยไม่รีบปรับตัว และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้อย่างจริงจัง ก็จะเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังในภูมิภาคนี้อย่างถาวร
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







