อสังหาฯ เชียงใหม่ ‘ฟื้น’ รับดีมานด์ต่างชาติ

หลังโควิด-19 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่ดีขึ้นทั้งกลุ่มคอนโดและโครงการแนวราบ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯมีความเชื่อมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาฯในเชียงใหม่มากขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อรสิริน โฮลดิ้งปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ระบุ หลังโควิด-19 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่ดีขึ้นทั้งกลุ่มคอนโดและโครงการแนวราบ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯมีความเชื่อมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาฯในเชียงใหม่มากขึ้นหลังจากที่มีการคุยกับตัวแทนขายต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่ยืนยันว่าดีมานด์ที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่ยังคงเป็นที่ต้องการชาวต่างชาติทั้งจากยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะหลังการเปิดประเทศของจีน

ความต้องการที่อยู่อาศัยในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ยังคงได้รับความนิยมจากชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นการเติบโตทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการเชิงพาณิชย์  โดยบริษัทยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากแผนการเปิดโครงการใหม่ รวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้น และนโยบายมาตรการภาครัฐ อาทิ การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และมาตรการผ่อนคลาย LTV (Loan To Value Ratio) ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น

บริษัทจึงเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เร่งขยายตลาดบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ควบคู่กลยุทธ์นวัตกรรมในการก่อสร้าง เพื่อควบคุมต้นทุนบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการแข่งขันตลาดรุนแรงมากขึ้นจากการเข้ามาของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ที่เห็นการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงใหม่  ในฐานะเป็นบริษัทที่อยู่ในพื้นที่ไม่มีกังวลต่อเรื่องดังกล่าว เนื่องจากแบรนด์สินค้าของบริษัทเป็นที่รู้จักทั้งในเรื่องคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ง่าย รวมถึงการที่บริษัทมีฐานลูกค้าในพื้นที่และความเชี่ยวชาญตลาดในพื้นที่มากกว่าจึงมั่นใจว่าสามารถแข่งขันกับดีเวลลอปปเปอร์รายใหญ่ที่จะเข้าลงทุนได้

กางแผน 2 ปี ลงทุน 5 พันล้าน

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่แนวราบ-แนวสูง รวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,225 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 1,940 ล้านบาท และแนวสูงอีก 3 โครงการ มูลค่าประมาณ  1,285 ล้านบาท คาดจะเริ่มพัฒนาโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2566 และภายในปี 2567 บริษัทเตรียมแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มเติม มูลค่ารวมประมาณ 1,940 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบมูลค่ารวมประมาณ 233 ล้านบาท และโครงการแนวสูง มูลค่ารวมประมาณ 1,707  ล้านบาท 

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนเพื่อการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน โดยอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปีนี้ เพื่อสามารถรองรับการขยายตัวในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปี 2566 ไว้ที่ 1,735 ล้านบาท และวางเป้ายอดโอนรวมไว้ที่ 1,471 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ารักษาการเติบโตของยอดขาย ไว้ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี