ส่งออกไทยใช้สิทธิฯ FTA สูงต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก

ส่งออกไทยใช้สิทธิฯ FTA สูงต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก

กรมการค้าต่างประเทศเผยยอดการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA เดือนม.ค.66 มีมูลค่ารวม 5,399.38 ล้าน สำหรับตลาดอาเซียนยังครองแชมป์อันดับ 1 ตามติดมาด้วยอาเซียน-จีน ไทย-ออสเตรเลีย ไทย-ญี่ปุ่น อาเซียน-อินเดีย และภายใต้กรอบ RCEP มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 97.04 ล้านดอลลาร์

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า  การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเดือนมกราคม ปี 2566 จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวม 5,399.38 ล้านดอลลาร์ โดยสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึง 71.79% ซึ่งมีสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงในหลายกรอบความตกลงฯ ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน (กรอบอาเซียน) มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด (กรอบอาเซียน-จีน) รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) และรถยนต์ขนส่งบุคคลความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 ลบ.ซม. (กรอบไทย-ออสเตรเลีย) เป็นต้น

ทั้งนี้ กรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่  1.ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน มูลค่า 2,081.46 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 68.74% โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด มูลค่า 618.32 ล้านดอลลาร์  มาเลเซีย มูลค่า 508.66 ล้านดอลลาร์ เวียดนาม มูลค่า 428.99 ล้านดอลลาร์ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 317.12 ล้านดอลลาร์

สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (น้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน) น้ำตาล รถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (1,500 - 3,000 cc) และน้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่ บิทูมินัสอื่นๆ เป็นต้น

ส่งออกไทยใช้สิทธิฯ FTA สูงต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก

2. ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 1,208.83 ล้านดอลลาร์  มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 78.53% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด ผลไม้สดอื่นๆ (ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ฯลฯ) และสตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง เป็นต้น

3. ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 487.23 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 72.97%*โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2,500 cc ขึ้นไปและขนาด 1,000 - 1,500 cc ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และปลาทูน่าปรุงแต่ง เป็นต้น

4. ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 487.12 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 75.05%  สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่เย็นจนแข็ง เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ชและกระสอบและถุงทำด้วยพลาสติก เป็นต้น  

5. ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) (มูลค่า 400.37 ล้านดอลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 70.65% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ สารประกอบออร์แกโนอินออร์แกนิกอื่นๆ ลวดทองแดง โพลิเมอร์ของไวนิลคลอไรด์หรือของฮาโลเจเนเต็ดโอลีฟิน ในลักษณะขั้นปฐมภูมิ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการใช้สิทธิฯ ตามกรอบความตกลงอื่นๆ ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA) (มูลค่า 276.92 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.92% และความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ส่งออกไปออสเตรเลีย  มูลค่า 246.23 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 36.88%

นายรณรงค์ กล่าวว่า    สำหรับความตกลง RCEP ในเดือนม.ค. 2566 มีการส่งออกไปยัง 9 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 97.04 ล้านดอลลาร์ขยายตัว 1,039% เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.2565 ที่ได้เริ่มบังคับใช้ความตกลง RCEP โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP อาทิ น้ำมันหล่อลื่น มันสำปะหลังเส้น ปลาทูน่ากระป๋อง หัวเทียน ฟล็อก ผงสิ่งทอ และมิลเน็ป เป็นต้น