ลูกค้าไม่ทุ่มงบก้อนโต! 'สปา-ฮาคูโฮโด' แตก 3 กลุ่มธุรกิจ รับโลกตลาดเปลี่ยน
“สปา-ฮาคูโฮโด” ยืนหยัดในการสร้างแบรนด์และโฆษณาในประเทศไทยกว่า 4 ทศวรรษ เส้นทางองค์กร เริ่มจาก “สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์” ปลุกปั้นธุรกิจขึ้นมาเพื่อให้บริการแก่สินค้าในเครือโอสถสภา จนปี 2552 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น กระทั่งปัจจุบันโอสถาสภาไม่มีหุ้นเหลือแล้ว
ทว่า การขับเคลื่อนธุรกิจยังเดินหน้า แต่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในการเสพสื่อ คอนเทนต์ต่างๆ รวมถึงความต้องการของลูกค้าที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้ “สปา-ฮาคูโฮโด” ต้องปรับตัว พลิกกระบวนท่าใหม่
จิรภัทร์ กาญจนะโนสถ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด ฉายภาพว่า บริษัทอยู่ในตลาดมากว่า 40 ปี สั่งสมประสบการณ์ และเข้าใจตลาดเมืองไทย ถือเป็น “ต้นทุนเรื่องข้อมูลและเข้าใจผู้บริโภค” เมื่อผนวกกับจุดแข็งของบริษัทแม่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ช่วยวางแผนงานมีประสิทธิภาพ พัฒนาข้อมูลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นรากฐานสำคัญให้บริษัทสามารถต่อกรท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมาได้โดยตลอด
ทว่า ล่าสุดบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับความต้องการของโลกการตลาดยุคใหม่ จากเดิมที่เป็นเอเยนซีให้บริการครอบคลุมทุกความต้องการหรือ Full Service ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ สร้างสรรค์งานโฆษณา ตลอดจนวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด มาเป็นการสร้างความชัดเจนให้กับ “บริการใหม่” มากขึ้น
ขณะเดียวกันยังดึงคนรุ่นใหม่มาเสริมทัพ ขับเคลื่อนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น “บงกช เจริญธรรม” ช่วยบริหารเรื่องการเชื่อมต่อและสร้างเสริมการร่วมมือของเครือข่ายฮาคูโฮโดทั่วโลก “ชาญวิทย์ ตระกูลไพบูลย์ผล” รับบทบริหารการพัฒนานวัตกรรมเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ “พิมพิศา จุฬา เทิดทูลทวีเดช” บริหารด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มทางธุรกิจรูปแบบใหม่ เน้นให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ “ภัค บุญชูสนอง” เสริมแกร่งการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์หรือ Creative Solution การคิดงานนอกกรอบ และ “ณัฐกาญจน์ วัฒนมงคลศิลป์” ผู้นำด้านการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์และสังคมอย่างยั่งยืน
“ก้าวต่อไปของสปา-ฮาคูโฮโด ไม่ง่าย แต่การเริ่มก้าวเดินอย่างมั่นคง เราไม่สามรถทำคนเดียวได้ ต้องมีคีย์ลีดเดอร์เสริมแกร่งการเคลื่อนทัพองค์กร”
เจาะลึกการปรับโครงสร้างองค์กร มีการแตก 3 กลุ่มธุรกิจย่อย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ได้แก่ 1.สเปซ(SPACE) ให้บริการการตลาดดิจิทัล 2.แพลนต์(PLANT) เน้นการให้บริการเรื่องวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและนำเสนอโซลูชั่นทางการตลาดให้ลูกค้า เพราะท่ามกลางบริบทโลกการตลาดเปลี่ยน ไม่ใช่ทุกแบรนด์จะทุ่มงบเพื่อสร้างแคมเปญปลุกการรับรู้ให้กับผู้บริโภค
“สเปซ เราทำมาหลายปี แต่เทรนด์การสื่อสารตลาดที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนให้ความสำคัญกับการทำแคมเปญ สร้างแบรนด์ แต่ตอนนี้เราให้สำคัญตั้งแต่ต้นทาง คือการวางแผนกลยุทธ์ ไปจนถึงปลายทางคือสื่อที่นำไปใช้สื่อสารกับผู้บริโภค ขณะที่แพลนต์รองรับความต้องการของลูกค้า นักการตลาด ที่เมื่อก่อนจะเห็นการทุ่มงบโฆษณา 30 ล้านบาท เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้แค่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และเงินหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ก็เปลี่ยนธุรกิจได้ หรือลูกค้าบางรายต้องการแค่สร้างการรับรู้แบรนด์ พัฒนาแคมเปญ ลอนซ์สินค้าหรือแค่ต้องการจ่ายเงินเพื่อความคิดสร้างสรรค์ การแบ่งกลุ่มธุรกิจจึงตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากขึ้น”
3.กลุ่มธุรกิจอาร์เชอร์(ARCHER) ที่จะรองรับโอกาสจากนักลงทุน ลูกค้าแบรนด์จีนที่ตบเท้าเข้ามารุกคืบขยายธุรกิจในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า(อีวี) เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเปิดรับลูกค้าจีนใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มยานยนต์อีวี
3 กลุ่มธุรกิจรองรับความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนไป
“หากกล่าวถึงทุนจีน ที่เข้ามารุกธุรกิจในไทย ถือว่ามีความครบเครื่องทั้งการบริหาร ต้นทุนดี องค์ความรู้ และนวัตกรรมสินค้า หากย้อนทศวรรษที่ผ่านมาแบรนด์เกาหลีถูกมองเชิงลบด้านคุณภาพ แต่ตอนนี้แบรนด์และสินค้าพิสูจน์แล้วว่าทัดเทียมกับแบรนด์ระดับโลก เช่นเดียวกับจีน ที่กำลังจะตามรอยดังกล่าว เราจึงเปิดกลุ่มธุรกิจอารืเชอร์ เพราะเรามีแบรนด์ในมือ และถือเป็นเอเยนซีแรกๆที่ทำงานกับแบรนด์จีน แต่ปัจจุบันเรามีความพร้อมในการจะวิ่งให้เร็ว มีประสิทธิภาพ และไวสุด เป็น Next Move ในการรับลูกค้าจีน”
จากแผนดังกล่าว บริษัทตั้งเป้ารายได้จาก 3 กลุ่มธุรกิจเติบโต 30-40% จากปีก่อน โดย 3 เดือนแรก ลูกค้าของบริษัทยังคงใช้จ่ายเงินเพื่อทำแคมเปญ การสื่อสารการตลาด ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้าล้วนเป็นกลุ่มของกินใช้หรือ FMCG และเป็นสินค้าตอบโจทย์ผู้บริโภคไฮซีซั่น เช่น เครื่องดื่มชาเขียว เครื่องดื่มวิตามินซี อาหาร เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ขณะที่ปี 2566 บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 30% และเติบโตกว่า 50%
