AWC เชื่อมั่น 'ประเทศไทย' จุดหมายท่องเที่ยวโลก ชูโปรเจคยักษ์เร่งโตอาณาจักร
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ 'AWC' เจ้าของอาณาจักรอสังหาฯ ปัจจุบันมีมูลค่า 'ทรัพย์สินดำเนินงาน' รวมกว่า 120,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,991 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% จากปี 2562 ก่อนวิกฤติโควิด-19 ซึ่งครอบคลุมกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ กับกลุ่มเพื่อการพาณิชย์
ด้วยเชื่อมั่นในศักยภาพของ “การท่องเที่ยวไทย” ที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก! บริษัทได้เตรียมความพร้อมหลายด้านเพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวในภาวะปกติ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการพัฒนาทรัพย์สินของบริษัทให้เสร็จเพื่อเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินดำเนินงานที่มีคุณภาพ และเพิ่มมูลค่าอย่างสูงสุด เสริมสร้างการเติบโตและความได้เปรียบในการแข่งขัน
วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ให้เป็น “ทรัพย์สินดำเนินงาน” เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ!
อาทิ การเปิดตัวโรงแรมอินน์ไซด์บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท (INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit) แห่งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อมอบประสบการณ์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ให้กับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันถือเป็นโรงแรมที่ได้มีการออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE)
โดยปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 แห่ง รวมจำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 แห่ง ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวน 3,432 ห้อง
“บริษัทมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพและจำนวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น”
รายงานข่าวจาก AWC ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังระบุด้วยว่า บริษัทดำเนินกลยุทธ์สร้างการเติบโตใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 “การเติบโตจากทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ ในช่วงระยะเวลาอันใกล้” (Near-Term Growth) บริษัทสร้างการเติบโตโดยเร่งการเปลี่ยนผ่านทรัพย์สินที่อยู่ในช่วงดำเนินงานเริ่มต้น (Ramp up) และทรัพย์สินที่อยู่ในช่วงการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด (Repositioning) เป็นทรัพย์สินที่ดำเนินงานปกติที่เติบโตเต็มที่ (Mature)
ยกตัวอย่างเช่น โรงแรม มีเลีย เกาะสมุย, โรงแรมบันยันทรี กระบี่, โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่, โรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์, โรงแรมเดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต ซึ่งต่อไปจะดำเนินการภายใต้ชื่่อใหม่คือ โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน ภูเก็ต รวมถึงโรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท เป็นต้น สำหรับทรัพย์สินจากกลุ่มอสังหาฯเพื่อการพาณิชย์ ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์, ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย, ศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ, เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์เดสติเนชั่น และศูนย์การค้าพันทิพย์ พลาซ่า แอท งามวงศ์วาน เป็นต้น ทั้งนี้การเติบโตระยะใกล้จะเพิ่มกำไรจากการดำเนินงานของทรัพย์สินดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ระยะที่ 2 “การเติบโตจากทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นทรัพย์สินดำเนินงาน” (Medium-Term Growth) บริษัทสร้างการเติบโตโดยการเร่งการเปลี่ยนผ่านทรัพย์สินระหว่างพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จะค่อยเติบโตเพิ่มขึ้นสู่ระดับเดียวกับปี 2562 และคาดว่าจะเติบโตเต็มที่สู่ระดับที่มากกว่า 15% ต่อไป
ตัวอย่างโครงการในการเติบโตระยะกลาง ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ซึ่งตามแผนงานจะเปิดให้บริการภายในปี 2566 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความพร้อมในการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการเข้าสู่ไฮซีซันของภาคเหนือ นอกจากนี้ยังมีโรงแรม เดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น และโรงแรมคิมป์ตัน หัวหิน รีสอร์ท เป็นต้น
และระยะที่ 3 “การเติบโตจากการลงทุนในแผนพัฒนาสำหรับการเติบโตระยะยาว” (Long-Term Growth) บริษัทจะสร้างการเติบโตผ่านแผนการลงทุนภายใต้ข้อตกลง GRANT OF RIGHT (GOR) Agreement กับกลุ่มทีซีซี และโอกาสการลงทุนจากบุคคลภายนอก เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสด และเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอคุณภาพในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน AWC มีโครงการตามแผนพัฒนาสำหรับการเติบโตระยะยาว อาทิ
-โครงการอควอทีค บาย เดอะบีช (พัทยา)
-โครงการเอเชียทีค 2.2 (กรุงเทพฯ)
-โครงการเวิ้งนครเขษม (กรุงเทพฯ)
-โครงการเดอะ ล้ง 1919 ริเวอร์ไซด์ เฮอริเทจ เดสติเนชั่น (กรุงเทพฯ)
-โครงการลานนาทีค (เชียงใหม่)
-โครงการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก
-โครงการโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก เป็นต้น
โดยโรงแรมทั้งสองแห่งจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท และเพิ่ม “เรือธง” (Flagship) โรงแรมระดับอัลตราลักชัวรี (Ultra-luxury) ให้กับ 2 มหานครระดับโลก ทั้งนิวยอร์ก และ กรุงเทพฯ เชื่อมสองโครงการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก จะพัฒนาจากอาคาร EAC (East Asiatic Company) เป็นจุดเริ่มต้นและศูนย์กลางเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของบริษัท ภายใต้แนวคิด “River Journey Project”