SCC กำไรถูกกดดัน (วันที่ 11 เมษายน 2565)

SCC กำไรถูกกดดัน (วันที่ 11 เมษายน 2565)

ซัพพลายเอทีลีนใหม่จะชะลอลงใน 2023 และ 2024 แต่ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นเป็นความท้าทายหลัก เราคาดกำไรสุทธิ 4Q ที่ 7.9 พันลบ. (6.6 บาท EPS) -5% qoq และ -47% yoy กดดันจากส่วนต่างเคมีภัณฑ์อ่อนแอลงเนื่องจากต้นทุนนาฟตาสูงขึ้น

คงคำแนะนำ ถือ ปรับ TP DCF ลงเป็น 380 บาท (จาก 420 บาท)

 

ซัพพลายเอทีลีนใหม่ชะลอลงใน 2023 และ 2024 แต่ต้นทุนพลังงานสูงขึ้นยังกดดัน

1Q22 จะเป็นไตรมาสที่ยากลำบากของผู้ผลิตนาฟทาเนื่องจากราคาน้ำมันกดดันอัตรากำไร SCC จึงใช้นโยบายเก็บสต๊อกให้ลีนและล็อคราคาขาย การเติบโตของซัพพลายเอทีลีน (และ PE) ยังอยู่ในระดับสูงที่ +6% ในปีนี้และลดลงเป็น +4% ในปี 2023 และ +2% ในปี 2024 เทียบกับดีมานด์เติบโต 4-5% ต่อปี ในส่วนต้นทุนพลังงาน SCC ล็อคราคาถ่านหินเป็นเวลา 6-9 เดือนล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง SCC คาดอุปสงค์ซีเมนต์จะเติบโต yoy หลังหดตัว -4% ในปี 2021 โดยจะเติบโตใน 2H22 SCC ใช้แผนในการบรรเทาผลกระทบเพื่อลดต้นทุน โดย SCC มีแผนปรับราคาขายขึ้น 150 บาทต่อตันเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น ราคาขายในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 85 บาทต่อตันตั้งแต่ 4Q  แต่ SCC สามารถปรับขึ้นได้สูงกว่าอุตสาหกรรม แม้จะต่ำกว่าเป้าหมาย 150 บาทต่อตัน

คาดกำไร 4Q ที่ 7.9 พันลบ. (6.6 บาท EPS), -5% qoq และ -47% yoy

คาด SCC กำไรสุทธิ 4Q ที่ 7.9 พันลบ. (6.6 บา EPS) -5% qoq และ -47% yoy กดดันจากส่วนต่างเคมีภัณฑ์เนื่องจากต้นทุนนาฟตาสูงขึ้น ส่วนต่าง PE และ PP จะลดลงเป็น US$453/t และ US$510/t จาก US$507 และ US$590 ใน 4Q ตามลำดับ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้มีกำไรสต๊อก 980 ลบ. จาก 490 ลบ. ใน 4Q ปริมาณขาย (PE, PP) จะยังอยู่ในระดับดีที่ 490k ตัน หรือลดลง -1% qoq ดีมานด์ซีเมนต์จะเติบโต 1% yoy เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมก่อสร้างต่อของภาครัฐ (40% ของดีมานด์) ส่วนแบ่งกำไรจะลดลง 18% qoq เป็น 1.9 พันลบ. กดดันจากต้นทุนนาฟตาสูงขึ้นและ lag time ในการปรับราคาขาย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะฟื้นตัว qoq แต่กำไรสุทธิจะอ่อนแอลง 15% qoq เป็น 1.8 พันลบ. เนื่องจากรายได้พิเศษ 1.1 พันลบ. จากการปรับมูลค่าการเข้าซื้อ Go-Pak ใน 4Q ผลประกอบการจะประกาศวันที่ 27 เม.ย.

 

คงคำแนะนำ ถือ ปรับ DCF TP ลงเป็น 380 บาท (จาก 420 บาทต่อหุ้น) 

SCC ปรับงบลงทุนเป็น 8.0 หมื่นลบ.ในปีนี้ ครึ่งนึงใช้ใน Long Son Petrochemicals (LSP) ในเวียดนาม โดย LSP จะแล้วเสร็จในกลางปี 2023 เราปรับส่วนต่างสมมติฐาน HDPE และ PP ลง US$100 และ US$150 ใน FY22-23 เป็น US$500/t และ US$600/t ซึ่งทำให้ประมาณการกำไรปี FY22-23F ลดลง 27% และ 25% และทำให้ TP DCF ลดลงเป็น 380 บาท เทียบเท่า 13.3x FY22F PE และผลตอบแทนปันผล 3.8%