ราคาสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับลง หลังสหรัฐรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด

ราคาสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับลง หลังสหรัฐรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด

รายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ เดือน ม.ค.65 ออกมาสูงกว่าคาดที่ระดับ 7.5% yoy (ตลาดคาดที่ 7.3% yoy) ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี่ รวมถึง น้ำมัน ผันผวนหนัก ขณะที่เงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับสูงขึ้น

สะท้อนความกังวลของตลาดที่มองเฟดอาจเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าตลาดในช่วงสั้นจะสามารถประคองตัวได้จากมุมมองอัตราเงินเฟ้อที่คาดใกล้ผ่านจุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 1/65 รวมถึง การดำเนินนโยบายการเงินเฟดที่น่าจะไม่ยกระดับความเข้มงวดมากขึ้นจากการส่งสัญญาณในช่วงก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลกรวมถึงไทยให้สามารถแกว่งขึ้นได้ต่อในระยะสั้น-กลาง
 

เรายังคงมุมมองระดับดัชนีที่สูงกว่า 1700 เป็นจุดที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และอาจเป็นจังหวะในการพิจารณาลดน้ำหนักสถานะการลงทุนในหุ้นที่เริ่มแพงหรือมีความน่าสนใจน้อยลงในเชิงมูลค่า หากประเมินจากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างหุ้นเทียบพันธบัตร หรือ earnings yield gap จะพบว่าตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในจุดที่ค่อนข้างแพงและเปราะบาง ส่งผลให้การเข้าซื้อบริเวณนี้มี risk/reward ที่ไม่น่าสนใจ ซึ่งอาจต้องอาศัยการเติบโตของกำไรตลาดในปี 65 ที่สูงกว่า 13-16% ในการชดเชยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อรักษาระดับดัชนี ณ ปัจจุบัน (ปัจจุบัน bloomberg concensus ให้เป้าการเติบโตของกำไรตลาดหุ้นไทยอยู่ที่เพียง 7-8%) ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์เรายังคงเน้นการสลับกลุ่มเล่นโดยแนะ selective buy หุ้นในกลุ่มที่มี valuation สมเหตุสมผล, จ่ายปันผลสูง, หรือมีการเติบโตของกำไรคาดการณ์ที่สูงกว่าตลาด อาทิ ธนาคาร, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาฯ, ค้าปลีก, นิคมฯ, รวมถึง พลังงาน

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ บวกต่อ CK, STEC, ITD, UNIQ 2) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดเก็งกำไรการเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล และผลประกอบการปี 2564 ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลในระดับที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีความไม่ชัดเจนของภาพรายได้ปี 2565 อีกมาก การเก็งกำไรจึงควรกำหนจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง KGI, ASP, CGH, FSS 3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 4) กลุ่มบันเทิง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากงบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 5) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ SFT, WFX, CV, UBE, VPO, CPI, TOP, RAM, IND, MAKRO, CPALL, 

ภาพรวมกลยุทธ์: เพิ่มความระมัดระวังหลังดัชนียืนสูงกว่า 1700 จุด รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มความผันผวนในระยะสั้น แต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงภาพใหญ่ที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมถึงการปรับลดขนาดงบดุล เน้นเก็งกำไรสลับรายกลุ่มโดยเลือกหุ้นที่ยังมีความน่าสนใจในเชิงของ valuation และมีทิศทางการเติบโตของกำไรเป็นบวก//หุ้นแนะนำ: BAM*, CPALL*, MAKRO*, WORK*

แนวรับ: 1,685 / แนวต้าน : 1,720-1,750 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

ประเด็นการลงทุน

PTTEP - ตั้งเป้าปริมาณการขายปี 65 ที่ระดับ 467,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นอีก 12% โดยได้แหล่งก๊าซเอเราวัณหนุน ตั้งงบลงทุนปีนี้ที่ 5,666 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเมินราคาน้ำมันแต่ 90 ดอลลาร์

INTUCH - ประกาศจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 64 หุ้นละ 1.60 บาท ขึ้น XD ขึ้น XD วันที่ 23 ก.พ. 65

ททท. ชี้ท่องเที่ยวไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว - รัฐบาลตั้งเป้าในปี 65 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยว 50% ของปี 62 ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของจีดีพี และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท จากนั้นในปี 66 ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเป็น 20 ล้านคน และรายได้ 80% ของปี 62 หรือราว 2.4 ล้านล้านบาท และในปี 67 ตั้งเป้าให้สถานการณ์ทางการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับคืนมาหรือดีกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19

SPRC - รัฐบาลรายงานข่าวจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุน้ำมันรั่วไหลจากจุดเดิมที่เคยเกิดเหตุของ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ซึ่งบริษัทได้แจ้งกับทางจังหวัด และจะได้มีการประสานกับกองทัพเรือต่อไป

 

ประเด็นติดตาม: 10 ก.พ. – OPEC Monthly Report  /11 ก.พ. – IEA Monthly Report

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)