‘ออริจิ้น’ปั้น‘บริทาเนีย’ โกยความมั่งคั่งครั้งใหม่

‘ออริจิ้น’ปั้น‘บริทาเนีย’  โกยความมั่งคั่งครั้งใหม่

"ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้" หรือ ORI ของ “พีระพงศ์ จรูญเอก”ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่หนึ่งในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จหลังเข้าตลาดหุ้นไทยปี 2558 ปัจจุบัน ORI มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 25,755.06 ล้านบาท

       ล่าสุด ผู้ก่อตั้ง ORIเดินหน้าสร้าง“ความมั่งคั่ง”ครั้งใหม่! ด้วยการผลักดันบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI  ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในฐานะบริษัทในเครือ ORIถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 70.37% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 252,650,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10.50บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50บาทต่อหุ้น เข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) 21 ธ.ค. 2564 นี้  โดยบริษัทจะได้รับเงินจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้กว่า 2,652,825,000 บาท

ณ ปัจจุบันBRI มีการพัฒนาโครงการภายใต้ 4 แบรนด์ ประกอบด้วย  1.“แบรนด์ไบรตัน” เป็นโครงการบ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัด จับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber)     2.“แบรนด์บริทาเนีย”เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก

3. “แบรนด์แกรนด์บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 4. “แบรนด์เบลกราเวีย”เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ เน้นฟังก์ชันอยู่อาศัยแบบสมัยใหม่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว

“ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI กล่าวถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบของ BRIเป็นเป็นบริษัท “เรือธง” ของกลุ่ม ORI โดยปัจจุบันมีโครงการครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งอนาคตวางเป้าหมายสร้างการเติบโตต่อเนื่อง

สะท้อนผ่าน แผนธุรกิจ 3-5 ปีข้างหน้า (2564-2568) บริษัทจะรักษาระดับการเติบโตรายได้เติบโตปีละไม่น้อยกว่า 30-40% ซึ่งเงินระดมทุนไปใช้ขยายการพัฒนาโครงการใหม่ ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ  โดยเฉพาะกลยุทธ์การลงทุน มุ่งเน้นการขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งการนำบริษัทก้าวเป็น “ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ” ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ เน้นทำเลใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมและจังหวัดที่ได้รับประโยชน์จาก“โครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” (ECC)

ในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ รวมมูลค่า 10,800 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และขยายในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยจากการขยายตัวของเมือง

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่กำหนดเปิดขายในช่วงไตรมาส4 ปี 2564 รวมมูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่กังวลการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน เพราะตลอดช่วง2 ปีที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดโควิด-19 บริษัทได้รับผลกระทบเชิงบวก ช่วงที่ล็อกดาวน์ยอดขายบ้านของบริษัทเติบโตดีมาก กลับมองเป็นโอกาสของแนวราบมากกว่า ซึ่งถ้าโอไมครอนรุนแรงก็เป็นโอกาสอีกครั้งของ BRI เพราะโครงการแนวราบตอบโจทย์ได้ดี

สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564ทำ “สถิติสูงสุด” ทั้งในด้านรายได้รวมและกำไรสุทธิ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 164.59 ล้านบาท และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,045.98 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงที่ผ่านมา

โดยมีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ

ท้ายสุด “ศุภลักษณ์” บอกไว้ว่า เรายังมีจุดเด่นในการพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปจากการศึกษาความต้องการ และปัญหาต่างๆ (Customer Pain Point) ของผู้บริโภค