ยังเลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่มีการถือครองต่ำ ไม่ไล่สื่อสาร

ยังเลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่มีการถือครองต่ำ ไม่ไล่สื่อสาร

สหรัฐฯ ประกาศระบายน้ำมันทางยุทธศาสตร์ 50 ล้านบาร์เรล พร้อมกับประเทศอื่นๆ อาทิ จีน (7), อินเดีย (5), อังกฤษ (1.5) และญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อหนุนความต้องการที่สูงเป็นพิเศษในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และน่าจะเป็นการกดดันต่อทางโอเปคและพันธมิตร

อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบกลับดีดตัวขึ้น 2-3% เนื่องจากตลาดคาดเดาปฏิกิริยาของทางโอเปคอาจตัดสินใจชะลอแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบโต้การดำเนินการข้างต้น ทำให้ระยะสั้นน้ำมันยังมีความเสี่ยงทางขึ้นที่เป็นต่อ และยากที่จะปรับลดลงแรงๆ โดยเฉพาะหากไม่ได้มีกำลังการผลิตจากทางอิหร่านเข้ามา ทิศทางดังกล่าวจะทำให้ภาพรวมการลงทุนระยะสั้นผันผวนตามที่เราคาดไว้ และแม้จะบวกต่อกลุ่มโภคภัณฑ์และพลังงาน แต่หากมองไปในกรอบ 6 เดือน น้ำหนักการลงทุนจะเริ่มเปลี่ยนจากปิโตรเคมีและพลังงานต้นน้ำ ไปยังโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน ที่มีลักษณะของผลการดำเนินงานอิงการฟื้นตัวของการเปิดเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น // ขณะที่ถ่านหิน ยังน่าจะได้ประโยชน์จากอุปทานที่จำกัด และมีโอกาสฟื้นตัวหลังความเสี่ยงเชิงนโยบายของจีนเริ่มนิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา // หุ้นที่เราชอบ ได้แก่ BANPU, PTG, OR
 

ไม่ไล่ราคากลุ่มสื่อสาร ขณะที่อาจเลือกเก็งกำไรหุ้นเข้า FTSE แม้เรามองบวกกับหุ้นในกลุ่มสื่อสาร และมองหุ้นที่ควบรวมมีโอกาสปรับขึ้นเกิด Tender price เมื่อดีลมีความชัดเจน แต่ราคาระยะสั้นตอบรับปัจจัยบวกไปพอสมควรแบะกระบวนการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องต้องใช้เวลา ขณะที่ ADVANC ปรับขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญแถว 216-220 บาท ซึ่งมีโอกาสทำให้หุ้นชะลอตัว จึงควรเพิ่มความระวังในการเก็งกำไรระยะสั้น ทั้งนี้เรามองหุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณดัชนี FTSE (มีผลสิ้น 17 ธ.ค.64) มีโอกาสเป็นเป้าหมายการเวกำไรระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็น TIDLOR หรือหุ้นในกลุ่มขนาดเล็กมาก (Micro cap) อย่าง AMR, ASW, DMT, GROREIT, INETREIT, NSL, SNNP 

 

 

ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) พลังงานทดแทนและรถไฟฟ้ารับ COP26 ดีกับ EA, NEX, SUPER 2) กลุ่มโภคภัณฑ์ป้องกันเงินเฟ้อ PTTEP, PTTGC, IVL, TOP 3) ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น ซึ่งบวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH 4) หุ้นธีมเปิดเมือง CPN, CRC, MINT, CENTEL, ERW, BA 5) เรามองทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 6) ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ได้แก่ SPALI, QH, PSH, ORI, LPN, LH, AP (ตามลำดับ) 7) ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน หนุนการย้ายฐานผลิตมาไทย บวกกับ AMATA, WHA, ROJNA, CCET, SMT 8) กลุ่มการเงินหรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย IFS, PIN, ONEE, CV, UBE, DMT, ASW

ภาพรวมกลยุทธ์: ภาพรวม  SET Index ยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยเป็นการแกว่งตัว 1,635-1,660 จุด ยังเน้นเก็งกำไรรายตัว ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศ หุ้นที่มีการถือครองน้อยแลหุ้นที่เพิ่ง IPO เข้ามาไม่นาน หลายตัวยังน่าสนใจ ขณะที่ระวังสื่อสารอาจชะลอหลัง ADVANC ปรับขึ้นใกล้แนวต้านสำคัญ //หุ้นแนะนำ: BANPU, ONEE*, TKN*, AMR*

แนวรับ: 1,635 / แนวต้าน : 1,660 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน
 

สหรัฐและประเทศพันธมิตรประกาศระบายน้ำมันดิบ - ปธน.ไบเดนประกาศสหรัฐจะระบายน้ำมันดิบจำนวน 50 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ โดยร่วมกับอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย

ประกันปรับเกณฑ์ดึงต่างชาติ – สมาคมประกันวินาศภัยไทยปรับลดเงื่อนไขต่างชาติเข้าไทยต้องทำประกันโควิดวงเงินคุ้มครองขั้นต่ำ 5 หมื่นดอลลาร์ จากเดิมกำหนด 1 แสนดอลลาร์ หวังจูงใจนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากขึ้น-แข่งขันกับประเทศอาเซียน

อู่ตะเภาลุยพื้นที่อุตฯการบิน – สกพอ.ลุยพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมการบิน ATZ 905 ไร่ 7 ธ.ค.นี้ จัดมาร์เก็ตซาวดิ้งดึงเอกชนลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ปั้นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มอบสัญญาเช่า 30 ปี ตั้งเป้าเริ่มขั้นตอนคัดเลือกปี 2565 หวังแล้วเสร็จซัพพอร์ตเมืองการบินในปี 2568

Opportunity day – 24 พ.ย. – META, LHK, CRD, WHAUP, ARROW, MOONG, SMD, WHA, PM, GULF, PL, ILM / 25 พ.ย. – SPCG, GFPT, SHR, PTT, ASP, CV, SGP, IND, BPP, IIG, BANPU, CPALL, EKH, S / 26 พ.ย. – KEX, SHREIT, TVD, STECH, GUNKUL, TQR, CRC, UREKA, PTG, NCL, AS, SECURE, JKN, BH

 

ประเด็นติดตาม: - 28 พ.ย. – เลือกตั้งท้องถื่น / 30 พ.ย. – MSCI Rebalancing Effective date / 17 ธ.ค. – FTSE Rebalancing Effective date

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)