จิตตะเวลธ์ ปั้นพอร์ตโตด้วย ‘หุ้นเทคโนโลยี’ เมกะเทรนด์ ขับเคลื่อนโลกอนาคต

จิตตะเวลธ์ ปั้นพอร์ตโตด้วย ‘หุ้นเทคโนโลยี’ เมกะเทรนด์ ขับเคลื่อนโลกอนาคต

อุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงยืนหนึ่งของโลกในวันนี้ ยังคงต้องยกให้กับ ‘หุ้นเทคโนโลยี’ ที่ทรงพลัง นับวันยิ่งแทรกซึมในชีวิตมนุษย์มากขึ้น จนแทบจะนับเป็นอวัยวะที่ 33 กันแล้ว และพร้อมกับดิสรัปอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้ปรับเปลี่ยนมาอยู่บนโลกดิจิทัลด้วย

อิทธิพลของการใช้เทคโนโลยีได้เข้ามายึดโยงทุกภาคส่วนเศรษฐกิจและธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงเกิดการแพร่ระบาด Covid-19 นานเกือบ 2 ปี เป็นตัวเร่งที่ทำให้ใครๆ ต้องก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลเร็วขึ้นกว่าปกติ ผ่านวิถีชีวิตแบบ New Normal ที่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่น Baby Boomer และ Gen X ที่ต้องหัดใช้แอปพลิเคชันต่างๆ ในสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต รวมไปถึง Gen Y (มิลเลนเนียล) Gen Z และ Gen Alpha ที่ล้วนผูกติดกับความสะดวกสบายและความคล่องตัวของเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไกลเร็วเกินคาด

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเป็นแกนกลางของหลายๆ กลุ่มธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาไปทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการภายใน บริหารความเสี่ยง การลดต้นทุน การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งสะท้อนผลลัพธ์มาเป็นตัวเลขรายได้และกำไรที่เติบโตสูง จึงเป็นที่มาของบริษัทอีกจำนวนมาก เร่งปรับเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการดิสรัปก่อน เพื่อความอยู่รอดได้ในบริบทใหม่โลกหลังโควิด -19

นี่คือ ภาพของความต้องการใช้เทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาหรือต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆ นั่นหมายความว่า ไม่มีใครจะหลบหนีคำว่า "Technology Breakthrough" ที่พร้อมจะทะลายกำแพงและแทรกซึมในทุกพฤติกรรมมนุษย์ได้เลย

จิตตะเวลธ์ ปั้นพอร์ตโตด้วย ‘หุ้นเทคโนโลยี’ เมกะเทรนด์ ขับเคลื่อนโลกอนาคต

 

ศักยภาพของ ‘หุ้นเทคโนโลยี’ ทั่วโลก

"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์"  CEO บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)  จิตตะ เวลธ์  กล่าวว่า  เมื่อเกิดวิกฤต โควิด-19 ทำให้ "หุ้นเทคโนโลยี" ทำราคาวิ่งขึ้นยกแผงในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน สะท้อนมาจากรายได้ของแต่ละบริษัทที่เติบโตได้ดี ตามปริมาณการใช้งานเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

แต่ระหว่างทาง ราคาหุ้นเทคโนโลยียังมีความผันผวน ปรับฐานลงในบางช่วงเวลา จากแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนทั่วโลก และในปัจจุบันศักยภาพของหุ้นเทคโนโลยีมาจาก 2 ขั้วมหาอำนาจโลกอย่างจีนกับสหรัฐฯ

ฟากฝั่งจีน  "หุ้นเทคโนโลยี" ยังเผชิญความไม่แน่นอนนานเกือบปี จากทางการจีนพยายามตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของบิ๊กเทคสัญชาติตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Alibaba Tencent Meituan และบริษัทใหญ่ๆ อีกจำนวนมาก กำลังผูกขาดตลาดผู้ใช้งานชาวจีน จนทำให้สตาร์ตอัปรายใหม่แข่งขันไม่ได้ หรือธุรกิจรายย่อยที่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มของบิ๊กเทคกลับมีอำนาจต่อรองน้อย รวมไปถึงบิ๊กเทคเหล่านี้กำลังถือข้อมูลผู้ใช้งานชาวจีนมหาศาล

ดังนั้นกระแสข่าวที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบจากทางการจีน ตามมาด้วยการปรับเงินบิ๊กเทค ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มีความผันผวน ขึ้นๆ ลงๆ ตามกระแสข่าว แต่เชื่อหรือไม่ว่า แทบไม่กระทบกับรายได้ของหลายๆ บริษัทเลย กลับแข็งแกร่งเติบโตได้ดี

 

"ตราวุทธิ์" มองว่า สุดท้ายแล้ว ทางการจีนจะออกกฎหมายมาดูแลการดำเนินธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีอเพื่อกำกับดูแลให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรมและคุ้มครองข้อมูลผู้ใช้งาน เริ่มมีความชัดเจนแล้วว่า สามารถประกาศใช้ได้ในเดือนกันยายนเป็นต้นมา

การปรับทัพจัดระเบียบรอบนี้ เพื่อให้ธุรกิจใหม่ๆ อย่างเทคโนโลยีสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนนี้ผันผวนอยู่บ้าง หากคุณยังเชื่อมั่นในโอกาสเติบโตระยะยาว สามารถเพิ่มทุนและเริ่มลงทุนในภาวะที่ราคาหุ้นถูกลงได้

มากันที่ฟากฝั่ง "ตลาดหุ้นสหรัฐ"  ก็มีช่วงที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีความผันผวน ถ้ายังจำกันได้ในช่วงต้นปีที่ราคาปรับฐานลง จากความกังวลภาวะเงินเฟ้อเร่งตัว ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปีพุ่งขึ้น ส่งผลให้มีแรงเทขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนไม่มาก แต่ความเสี่ยงต่ำกว่า

ราคาหุ้นปรับฐานเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยิ่งหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ครองสัดส่วนในดัชนี S&P500 ประมาณ 30% และยังเป็นหุ้นเมกะแคป มูลค่าสูงสุดในโลก เช่น Apple Microsoft Google (Alphabet) Amazon และ Facebook ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้น Nasdaq เมื่อเกิดแรงเทขายหุ้นบิ๊กเทคเหล่านี้ ก็สามารถกดดันดัชนีตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐาน เนื่องจากความกังวลภาวะเงินเฟ้อ และผลตอบแทน Bond Yield กำลังเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นเดือนตุลาคมเช่นเดียวกันครับ มีโอกาสที่จะผลกระทบระยะสั้น

 

หุ้นสหรัฐฯ ปรับฐาน-ราคาหุ้นเทคฯจีนผันผวน

เป็นโอกาสเพิ่มทุน-เริ่มลงทุน ในระยะยาว  

ตราบใดตลาดหุ้นยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ทุกวันทำการ การปรับฐานเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งหุ้นเทคโนโลยีจีนและสหรัฐฯ มีทิศทางขาลง หรือเคลื่อนไหวผันผวน 

"จิตตะ เวลธ์" ได้รับคำถามจากลูกค้าเรื่อยๆ ว่า หุ้นเทคโนโลยีถึงเวลาลงทุนได้หรือยัง ควรรอไหม เลือกลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนหรือสหรัฐฯ ดีหรือไม่

"จริงๆ แล้วผมมองว่า โอกาสลงทุนมีอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเรามองว่า สินทรัพย์ที่เลือกลงทุนมีศักยภาพเติบโตในอนาคต อย่างเทคโนโลยีที่มองให้เป็นเมกะเทรนด์ มีโอกาสพัฒนาต่อยอดได้ตลอดเวลา การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยียังมีความน่าสนใจ" 

ลองถามตัวคุณเองว่า คุณสามารถเลิกใช้เทคโนโลยีได้หรือไม่ ยังจำเป็นต้องใช้อีคอมเมิร์ซ คลาวด์ และฟินเทคอยู่หรือเปล่า เพราะถ้ายังเลิกใช้ไม่ได้ คุณและผู้คนอีกหลายร้อยล้านคนทั่วโลกยังเป็นผู้ใช้งานเทคโนโลยีไปอีกนาน นี่แหละที่เรืยกว่า Technology Breakthrough

เมื่อคุณเข้าใจเหตุผลของการลงทุนและมั่นใจในสินทรัพย์ที่เลือก ในช่วงที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีปรับฐานก็เป็นโอกาสที่จะเพิ่มทุนหรือเริ่มลงทุนได้ครับ

แน่นอนว่า ทุกครั้งที่ดัชนีตลาดหุ้นหรือราคาปรับฐาน นักลงทุนย่อมเกิดความรู้สึกหวั่นใจ เมื่อเห็นมูลค่าพอร์ตลดลงในช่วงเวลา

"ตราวุทธิ์" มองว่า  "ตระหนักได้  แต่ไม่ตระหนก" เมื่อเรามองย้อนกลับที่เหตุของการลงทุนของคุณ คือ ศักยภาพการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีใช่ไหมครับ ดังนั้นผลกระทบระยะสั้นจากข่าว จากภาวะตลาดการเงิน หรือจากภาวะเศรษฐกิจ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น

เมื่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐาน หรือราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนมีความผันผวน ถ้าคุณมั่นใจในสินทรัพย์ที่เลือกลงทุนในระยะยาว นี่คือโอกาสเพิ่มทุนหรือเริ่มลงทุน 

หุ้นเทคโนโลยี หรือ ETF ลงทุนอะไรดี

สินทรัพย์ 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติต่างกัน คือ  ลงทุนหุ้นรายตัวย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่า ETF (Exchange Traded Fund) ที่เป็นการลงทุนหุ้นทั้งตลาด ที่ได้กระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายสิบหลายร้อยตัว

สำหรับการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีรายตัว แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta มาช่วยสนับสนุนกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่เปิดให้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ 5-30 บริษัท โดย AI และอัลกอริทึมจะวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทนั้นๆ ย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งจะคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตที่น่าลงทุนที่สุด และมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง ภายใต้หลักการลงทุน VI (Value Investing)

แม้ว่า หุ้นเทคโนโลยีจะมีราคาผันผวนตามการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้น แต่ในระยะยาวยังมีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนสูงเช่นเดียวกัน

การใช้ AI มาช่วยคัดเลือกหุ้น เพื่อลดเวลาให้คุณไม่ต้องเลือกหุ้นที่สนใจและอ่านงบการเงินเอง เมื่อบริษัทรายงานงบการเงินรายไตรมาส แพลตฟอร์ม Jitta จะอัปเดตไปพร้อมกัน ระบบของ Jitta Wealth ปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ ทำให้คุณได้หุ้นที่มีโอกาสเติบโตอยู่เสมอ นี่คือการตอบโจทย์การลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 3-5 ปี หรือนานกว่านั้น

"ตราวุทธิ์"   ขอยกตัวอย่าง หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปี 2564 ที่แพลตฟอร์ม Jitta คัดกรองมาให้ว่า มีงบการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโต สามารถลงทุนแบบ VI ได้ เช่น บริษัท Facebook บริษัท Amazon บริษัท Veeva Systems บริษัท Etsy และบริษัท ServiceNow โดยบริษัทเหล่านี้มีรายได้และกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-40% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และหลายบริษัทเติบโตกว่า 100% ในปี 2563

ถ้าดูผลตอบแทนของ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เปิดให้บริการมานานกว่า 1 ปี ผลตอบแทนสูง 54.17% ชนะทั้งดัชนี Nasdaq ที่มีผลตอบแทน 43.69% และดัชนี S&P500 ที่มีผลตอบแทน 40.44% (ณ 31 สิงหาคม 2564)

แต่หากคุณยังไม่มั่นใจลงทุนหุ้นรายตัว ก็สามารถเลือกลงทุนแบบ Thematic ETF ในธีมเทคโนโลยีและเทคโนโลยีจีนได้ครับ กระจายความเสี่ยงลงทุนในหลายๆ สิบหลายร้อยบริษัทใน ETF กองเดียว

"ธีมเทคโนโลยี"  แนะนำ iShares Exponential Technologies ETF (XT) เน้นลงทุนในหุ้นเกือบ 200 บริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมวงกว้าง เป็น Passive Fund อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี Morningstar Exponential Technologies Index

XT ลงทุนในบริษัทเกี่ยวกับบิ๊กดาตา เทคโนโลยีนาโน เทคโนโลยีการแพทย์ คอมพิวเตอร์ และเครือข่าย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน หุ่นยนต์ การพิมพ์ 3 มิติ และนวัตกรรมทางการเงิน

ผลตอบแทนย้อนของ XT ยิ่งถือยาวยิ่งสวย ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 30.18% และสะสมย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี ยิ่งสูงมาก อยู่ที่ 68.00% และ 152.14% ตามลำดับ (ณ 30 กันยายน 2564)

ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 7.30% แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน -0.81% เป็นสัญญาณว่า ราคาเริ่มกลับมาดีขึ้นแล้ว หลังจากที่ราคาหุ้นมีการปรับฐานลงมา ก็น่าจะเป็นจังหวะเหมาะของคนที่อยากจะเข้าลงทุน ETF ธีมเทคโนโลยี

"ธีมเทคโนโลยีจีน" แนะนำ Invesco China Technology ETF (CQQQ) เน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน เป็น Passive Fund ให้ผลตอบแทนอิงกับดัชนี FTSE China Incl A 25% Technology Capped Index ครอบคลุมมากกว่า บริษัทชั้นนำของจีน ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Information Technology อย่าง บริษัท Tencent บริษัท Meituan บริษัท Baidu และบริษัท Sunny Optical Technology Group

ผลตอบแทนของ CQQQ ย้อนหลังยังเผชิญความไม่แน่นอน 3 เดือนและ 6 เดือนอยู่ที่ -21.88% และ -18.94% ตามลำดับ ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -4.43% แต่ถ้าเป็นผลตอบแทนรวมย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 38.17% และ 5 ปีอยู่ที่ 64.38% (ณ 30 กันยายน 2564) สะท้อนว่า เทคโนโลยีจีนยังมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

หากคุณยังเชื่อมั่นว่า การพัฒนาเทคโนโลยีก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้ แต่มีอนาคตไกล และยังเป็นพลังขับเคลื่อนวิถีชีวิตผู้คนทั่วโลก ให้สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น อันเป็นที่มาของคำว่า Technology Breakthrough นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีผลต่อการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจทั่วโลก

ถึงเวลาที่ต้อง"จัดพอร์ตลงทุนหุ้นเทคโนโลยี"  ไม่ว่าจะลงทุนผ่านหุ้นรายตัวหรือลงทุนใน Thematic ETF กับเทคโนโลยีจีนและสหรัฐฯ ก็ตาม เป็นโอกาสคว้าผลตอบแทนดีๆ ที่ทำให้เงินของคุณเติบโตได้ในระยะยาว