การชอปปิงของคนไทย: อดีต ปัจจุบัน อนาคต จากสังคมออนไลน์สู่ไลฟ์สด แล้วจะไปไหนต่อ

สำหรับคนจำนวนไม่น้อยที่การซื้อของหรือชอปปิง เป็นหนึ่งในกิจกรรมประจำในชีวิต โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการชอปปิงของคนไทยพอสมควร
การซื้อของออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิต ทำให้แหล่งชอปปิงเปลี่ยนจากบนร้านเป็นมือถือ จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกที่เปลี่ยนจากแค่การซื้อบนแพลตฟอร์มชอปปิง สู่การซื้อผ่านสังคมออนไลน์และซื้อขณะดูไลฟ์สดมากขึ้น
นำไปสู่ข้อสงสัยว่าในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า พฤติกรรมการชอปปิงของคนไทยจะเปลี่ยนไปอีกไหม?
ในปัจจุบัน Social Commerce และ Live Commerce ในไทยกำลังมาแรง
Social Commerce เป็นการซื้อของผ่านแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, TikTok, หรือ Line ในปี 2567 ประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้ซื้อผ่านสังคมออนไลน์ถึง 94% และเป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศจีน
สำหรับ Live Commerce นั้นเป็นการซื้อผ่านไลฟ์สด ซึ่งในปี 2567 คนไทย 82% เคยซื้อของผ่านการไลฟ์สด สูงเป็นอันดับสามของโลกรองจากจีนและอินโดนีเซีย แสดงถึงพฤติกรรมของคนไทยที่ยอมรับในเรื่องของข้อเสนอพิเศษในช่วงไลฟ์สดและความสนุกสนาน
การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการชอปปิงของคนไทย ทำให้ธุรกิจและร้านค้าของต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และวิธีการขายของ แบรนด์และร้านค้า มีการไลฟ์สดขายของกันมากขึ้น
ทำให้สินค้าเปลี่ยนจากอดีตที่อยู่บนชั้นวางในร้านค้า ไปสู่ฟีดวิดีโอและกล่องแชตที่อยู่ในมือถือมากขึ้น หลายธุรกิจก็สร้างสตูดิโอสำหรับการไลฟ์ของตนเองมากขึ้น
ประเด็นคำถามคือ แล้วต่อไปอนาคตของการซื้อของจะมีอะไรใหม่? ประเด็นที่เริ่มพูดถึงกันมากขึ้นคือบทบาทของ AI ที่จะเข้ามาช่วยทำให้การซื้อของสะดวกสบายมากขึ้น
ลองจินตนาการดูว่าถ้าสามารถพิมพ์เข้าไปในแชตและถาม AI ถึงสิ่งที่กำลังมองหา และมี AI Agent ทำหน้าที่ในการคัดเลือกสินค้า เปรียบเทียบ ตรวจสอบราคา เช็กสต็อก จนถึงนัดจัดส่งให้เสร็จ จะอำนวยความสะดวกในการซื้อของเพียงใด
Gen AI ก็เริ่มที่จะทำในสิ่งต่างๆ ข้างต้นได้บ้าง แต่ถ้าในอนาคต AI ดังกล่าวเป็นของแบรนด์หรือร้านค้าเลย ก็จะทำให้ทั้งลูกค้าได้รับข้อมูลมากขึ้นถึงขนาดเช็กสต็อกสินค้าให้ได้และให้รายละเอียดในการขนส่งหรือนัดรับได้เลย ซึ่งในทางกลับกันแบรนด์และร้านค้าเองก็จะได้รับข้อมูลของลูกค้ากลับไปด้วย
ปัจจุบันค้าปลีกใหญ่ๆ ของโลกอย่าง amazon.com และ Walmart ก็เริ่มมี AI ในลักษณะของ Gen AI มาช่วยตอบโจทย์ลูกค้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Chatbot ธรรมดาๆ
Amazon นั้นมี AI ชื่อ Rufus ส่วน Walmart นั้นชื่อ Sparky โดยทั้ง Rufus และ Sparky จะทำหน้าที่คล้ายๆ ChatGPT หรือ Gemini เพียงแต่จะเรียนรู้ด้วยข้อมูลของสินค้าและบริการต่างๆ ของ Amazon และ Walmart
ตัวอย่างเช่น เมื่อเข้าไปใน Rufus ก็สามารถถามถึงสินค้าที่ต้องการ จากนั้นให้ Rufus เปรียบเทียบแต่ละแบรนด์หรือตอบคำถามว่าสินค้าตัวไหนดีที่สุดภายใต้งบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงสรุปรีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ และสามารถกดสั่งซื้อได้โดยตรงจาก Rufus
การมี Gen AI ที่จำเพาะเจาะจงสำหรับร้านค้าหรือแบรนด์ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้มากขึ้น แต่ต้องชั่งน้ำหนักกับทรัพยากรและงบประมาณที่ต้องใช้ด้วย
สำหรับผู้บริโภคชาวไทยนั้นในปัจจุบัน คนไทยไม่น้อยก็ใช้ Gen AI ในการช่วยค้นหา ศึกษาและเปรียบเทียบสินค้าที่ต้องการ รวมถึงระบุร้านหรือช่องทางในการจัดจำหน่าย
อย่างไรก็ดีข้อมูลที่ Gen AI หามาได้ยังเป็นข้อมูลสาธารณะและมีความเสี่ยงในเรื่องของข้อมูลที่ผิดพลาด
ถ้า AI เข้ามามีบทบาทในการซื้อของมากขึ้นจริง ข้อจำกัดสำคัญสำหรับหลายๆ คนคือ คือการขาดความสนุกสนานและประสบการณ์ที่จะได้จากการชอปปิงและเลือกสินค้า พฤติกรรมในการชอปปิงของคนไทยยังจะปรับเปลี่ยนต่อไป
ซึ่งก็ทำให้ทั้งเจ้าของแบรนด์และร้านค้าต่างๆ ต้องปรับตัวตาม ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าหลังจาก E-Commerce, Social Commerce, Live Commerce แล้ว อะไรจะเป็นสิ่งต่อไป หรือจะเป็น AI Commerce?.







