ล่มสลาย 'ระบอบฮุน เซน' ไทย-กัมพูชาสู่สันติภาพ

ล่มสลาย 'ระบอบฮุน เซน' ไทย-กัมพูชาสู่สันติภาพ

ความคุกรุ่นร้อนระอุของปัญหาชายแดน สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่พร้อมปะทุเป็น “ไฟสงคราม” หากมีการปะทะขยายวงรอบใหม่ นับว่าน่าติดตามอย่างใกล้ชิด

เพราะอย่าลืมว่า แม้จะมีการเจรจา “หยุดยิง” ไปแล้ว และมีการประชุมร่วมคณะกรรมการต่างๆหลายครั้ง แต่สิ่งที่ไม่เคยลดละแม้แต่น้อย คือ การละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

ที่สำคัญ ประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ วิเคราะห์ตรงกันก็คือ สมเด็จฮุน เซน ต้องการใช้ประเด็น ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ว่าด้วยเรื่อง “ดินแดน” ปลุกกระแส ชาตินิยมกับประชาชนกัมพูชา เพื่อต่อลมหายใจ “ระบอบฮุน เซน” นั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่ง่ายที่การเจรจา “หยุดยิง” จะนำไปสู่ “สันติภาพ” ได้ เพราะ “ฮุน เซน” ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ที่ต้องการทำให้คนกัมพูชาเห็นว่า ได้ชัยชนะเหนือไทย ในเรื่องดินแดน โดยเฉพาะการสร้างเงื่อนไข “สงคราม” เพื่อนำประเด็นข้อพิพาทขึ้นสู่ “ศาลโลก” เหมือนกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ที่กัมพูชาเคยชนะไทยมาแล้ว ซึ่ง “ฮุน เซน” เชื่อมั่นสูงว่า เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา จะชนะเช่นกัน

ด้านประเทศไทย สิ่งปรากฏชัดจนไม่มีอะไรขวางกั้นได้ก็คือ กระแส “รักชาติ” เป็นเนื้อเดียวกับปฏิบัติการทางทหาร ซึ่ง เป็นกระแสอันเนื่องมาจากการรักและหวงแหนแผ่นดิน แน่นอน, การสู้รบกับกัมพูชา กระแสสังคมในประเทศไทยเห็นว่า เป็นการปกป้องแผ่นดินและอธิปไตย จนทำให้แรงเชียร์แรงใจจากแนวหลังสู้แนวหน้าเกิดขึ้นอย่างล้นหลาม เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยที่แม่ทัพภาคที่ 2 หรือ “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง เป็น “ฮีโร่” ไปโดยปริยาย

คนไทยส่วนใหญ่มองว่า “ฮุน เซน” และกัมพูชา ไม่มีความจริงใจที่จะยุติการสู้รบกับไทย เพราะมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาตลอด ทำให้การเจรจา “เปิดด่าน” ของที่ประชุมร่วมระดับรัฐมนตรี สองฝ่าย คนไทยคัดค้านแทบเป็นเสียงเดียวกัน เพราะไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัย และการสู้รบที่จะเกิดขึ้นอีก แม้จะถูกร้องขอจาก “ญี่ปุ่น” ที่มีการลงทุนในไทยและกัมพูชาก็ตาม

เรื่อง “เปิดด่าน” เรื่องเดียว ทำเอาทัวร์ลงกระหน่ำ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างหนัก กรณีรับข้อตกลงผ่อนปรนเปิดด่านชายแดนที่ไม่มีปัญหา

แล้วเรื่องนี้เอง ทำให้ “ฮุน เซน” โพสต์เฟซบุ๊กอย่างยะโสโอหังอีกครั้ง(23 ก.ย.68) โดยไม่ยี่หระต่อเรื่อง “เปิดด่าน”

 “ฮุน เซน” ระบุถึงเรื่อง “เปิดด่าน” ว่า “ในช่วงที่ผ่านมา มีการหารือกันมากมายในสังคม ส่วนใหญ่มาจากผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ชาวกัมพูชา ในขณะที่บุคคลทางการเมือง, ผู้นำกองทัพ และเจ้าหน้าที่รัฐเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอด” 

“แต่ดูที่ฝั่งไทย เราได้ยินเสียงมากมายจากคนทุกระดับในสังคม ตั้งแต่บนสุดยันล่างสุด พูดออกมาซ้ำๆ ว่าให้ปิดด่านต่อไป นับตั้งแต่กองทัพไทยปิดชายแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เราเพียงแจ้งไปยังฝั่งไทยว่า ในเมื่อไทยเป็นฝ่ายปิดด่าน พวกเขาก็ควรเป็นฝ่ายเปิดมัน ไม่มีความจำเป็นต้องเจรจากับกัมพูชา และเมื่อไทยเปิดด่านฝั่งพวกเขาแล้ว กัมพูชาจะเปิดด่านฝั่งตัวเองภายใน 5 ชั่วโมงต่อมา”

“นี่คือจุดยืนที่กัมพูชายึดมั่น และมันจะไม่เปลี่ยนแปลง กัมพูชาจะไม่ลดตัวไปขอร้องให้ไทยเปิดด่านอีกครั้ง ต่อให้ไทยตัดสินใจที่จะปิดด่านต่อไปอีก 100 ปี กัมพูชาก็ไม่ตาย”

“ฮุน เซน” กล่าวถึงกรณีมีข่าว “ญี่ปุ่น” ร้องขอเปิดด่านว่า

 “สำหรับเรื่องคำขอของญี่ปุ่น ซึ่งมีการลงทุนทั้งในไทยและกัมพูชา ที่ต้อง การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนกัมพูชา-ไทย นั้น ญี่ปุ่นควรติดต่อกับฝ่ายไทย เพราะกัมพูชาได้ให้การอนุมัติเรียบร้อยแล้ว”

เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้เห็นการแสดง “หลายหน้า” ของกัมพูชา อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่า หน้าของการ “เจรจา” ในคณะกรรมการร่วมระดับต่างๆ หน้าของ “ปฏิบัติการทางทหาร” หน้าของฝ่ายรัฐบาล และหน้าของ “ฮุน เซน” ในฐานะผู้กุมอำนาจกัมพูชาตัวจริง ที่ยากจะเชื่อได้ว่า หน้าไหนคือ “ของจริง” ที่เชื่อถือได้

 สำหรับท่าทีรัฐบาลไทย ต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องเอ็มโอยู 43 และเอ็มโอยู 44 ว่า อยู่ในชั้นนโยบาย เพื่อไม่ให้มีข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้น ตอนนี้ให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาแล้ว ส่วนนโยบายรัฐบาลจะมีการเสนอให้ทำประชามติเกี่ยวกับเรื่องนี้

เมื่อถามทำไมรัฐบาลให้ทำประชามติ ทั้งที่ “ครม.”สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องการให้มีความเห็นต่างใดๆ

ส่วนสถานการณ์ชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ที่ฝ่ายกัมพูชามีการยั่วยุในหลายพื้นที่ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า มีการยั่วยุตลอดเวลา ฝ่ายกองทัพก็มีความอดทนเป็นอันมาก และมีความพร้อมเต็มกำลัง ไม่ให้มีการล่วงล้ำ

 ถามว่า ให้กองทัพตัดสินใจได้เลยใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ถูกต้อง ตนยืนยันกับพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงท่าทีของรัฐบาล และท่าทีของตน ซึ่งทั้งสองท่านรับทราบแล้ว และได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์ กับพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็มีความเข้าใจในการทำงานและการปฏิบัติการตรงกัน

ถามต่อว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี หลังแถลงนโยบาย ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่จะมีการยกหูคุยกับนายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชาเองเลยหรือไม่ เพื่อคลี่คลายปัญหา ไม่เช่นนั้นก็จะยืดเยื้ออยู่อย่างนี้

 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การรักษาดินแดน รักษาอธิปไตย รักษาความปลอดภัยของประเทศและประชาชน เป็นเรื่องของทางกองทัพที่จะมีอำนาจอย่างเต็มที่ เรื่องเปิดด่าน ย้ำว่า ไม่มี จนกว่าความเป็นภัยของกัมพูชาต่อประเทศไทยจะหมดไป

ส่วนทางการทูต ตนได้มีนโยบายให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการต่างประเทศและการทูตอยู่แล้ว ทั้งการมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรือการบริหารสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง ก็จะต้องหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หากมีมาตรการใด ๆ ก็จะใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจเป็นช่วงๆ ไป

สรุปแล้ว ปัญหาความขัดแย้ง “ไทย-กัมพูชา” เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดน อาจยังคงคาราคาซังไปอีกนาน? ตราบที่ท่าทีของสองประเทศยังคงแข็งกร้าว

แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่ว่า โอกาสที่จะเกิด “สันติภาพ” มีหรือไม่ ด้วยวิธีใด

เรื่องนี้ “แก้วสรร อติโพธิ” นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เผยแพร่บทความในรูปแบบถาม-ตอบ เรื่อง จาก “รัสเซีย-ยูเครน”..ถึง..“ไทย-กัมพูชา” อย่างน่าสนใจ

 “แก้วสรร” เริ่มด้วยประเด็น ถาม อาจารย์เห็นด้วยกับมาตรการปิดด่านโดยเด็ดขาด ของรัฐบาลอนุทิน หรือไม่

ตอบ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เราจะมีสันติภาพกับเขมรได้ ก็ต่อเมื่อระบอบฮุน เซน สิ้นไปจากกัมพูชาเท่านั้น ธุรกิจมืดของระบอบฮุน เซนได้น้ำเลี้ยงหลักจากฝั่งไทยไปเลี้ยงกองกำลังพิทักษ์ฮุน เซน มาตลอด โดยตัวเศรษฐกิจเขมรเองก็ขาดสินค้าจำเป็นจากไทยและตลาดพืชผลการเกษตรในฝั่งไทยไม่ได้ การปิดด่านคือทางเดียวที่เราจะทำลายศัตรูของชาติได้ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งของพี่น้องไทย และของชาวเขมร

“แก้วสรร” ระบุต่อว่า ถาม ทำไมไปถือว่า ระบอบฮุน เซน เป็นศัตรูของชาติไทย

ตอบ มันเป็นระบอบเผด็จการที่งอกรากมากว่า ๓๐ ปี จนกลืนกินชาติเขมรโดยเด็ดขาดแล้ว แต่เมื่อตัวสมเด็จมหาเสนาบดีเริ่มเจ็บป่วยเสาะแสะ ลูกชายที่พึ่งขึ้นสืบต่อเป็น นายกฯ ก็ยังขาดบารมี ความจำเป็นต้องก่อกระแสชาตินิยม สร้างภาพให้ไทยเป็นผู้รุกราน แล้วให้ลูกชายเป็นวีรบุรุษกู้ชาติผู้เก่งกล้าสามารถ สู้รบยันทัพไทยแล้วชักจูงเวทีสากลมาตบหัวจนไทยต้องยอมหมอบราบ เช่นนี้นี่เองจึงเป็นยุทธศาสตร์เดียวที่ ระบอบนี้จะสืบสานต่อไปได้ แม้ฮุน เซน จะจากไปแล้ว

นอกจากนี้ “แก้วสรร” ยังชี้ประเด็นสำคัญด้วย ถาม วันนี้ก็ชัดเจนว่า พ่ายแพ้แล้วทั้งการทหารและการทูต แล้วมันยังจะฝืนยั่วยุ ก่อสงครามอีกหรือ

ตอบ ครับ..ไม่ช้านี้มันต้องเอาอีกแน่ๆ ยิ่งชาวบ้านเขมรทุกข์ยาก ข้นแค้นลงทุกวัน และหัวโจกฝ่ายค้าน อย่าง สม รังสี เริ่มรุกล้อมเข้ามาทุกที มันก็ยิ่งต้องโหมกระแสชาตินิยมเอาไทยเป็นตัวการ เป็นปีศาจ ที่ต้องล้างผลาญต่อไปให้จงได้ ส่วนตัวเลขทหารเขมรที่ตายไป 3,600 คนนั้น มันก็ใช้กระบอกเสียงตกแต่งข่าวสาร ตัดเลขศูนย์ออก จนเหลือ 36 คนแล้ว มันก็พอโกหกปิดหูปิดตากันได้สบายๆ คนเขมรก็กลายเป็นหุ่นส่งไปตายได้ต่อไปอีก....

ส่วนประเด็นที่เป็นการยุติความขัดแย้งอย่างถาวร จนมีสันติภาพนั้น “แก้วสรร” ระบุว่า

ถาม คราวนี้ถ้ามันเอาเราอีก ไทยก็ต้องรุกให้ราบถึงพนมเปญเลยนะครับ เสียมราฐ ศรีโสภณ พระตะบอง นั่น ก็เอาคืนมาให้หมด

 ตอบ ผมไม่เห็นด้วยครับ เราควรทำลายเฉพาะจุดที่เป็นฐานยุทธศาสตร์เท่านั้น จะขยายเป็นสงครามไปเลยนั้นไม่ได้ ผมว่าเราต้องคิดแบบปูตินจะดีกว่า คือปูตินเขามองว่า ศัตรูความมั่นคงของรัสเซียคือ ระบอบเซเลนสกี้ที่รัสเซียต้องจัดการให้หายไปจากยูเครนให้ได้ หายไปแล้วยูเครนก็กลับมาเป็นกลางไม่มีฐานทัพนาโต้มาคุกคามรัสเซียได้

ถาม คิดแค่ทำลายระบอบไม่ใช่ยึดครองดินแดนอย่างนี้นี่เอง ที่ทำให้ปูตินถึงรบแบบปฏิบัติการทางทหาร ไม่ใช่สงคราม วันนี้เราถึงไม่เห็นทัพรัสเซียทุ่มเข้าตียึดเมืองเคียฟใช่ไหมครับ

ตอบ ถ้าก่อเป็นสงคราม มันก็ต้องลามไปถึงนิวเคลียร์ ที่ไม่มีใครชนะ ผมว่าปูตินเขาคิดถูกต้องแล้ว ที่มุ่งหยุดระบอบเซเลนสกี้ให้ได้เท่านั้น ทำได้เมื่อใดการทุ่มเทขยายกำลังทหารของรัฐเผด็จการยูเครน และการปลุกมวลชนด้วยความเกลียดชังคนเชื้อชาติรัสเซียในยูเครนตะวันออกก็จะยุติลง และกลับมาเป็นกลาง เป็นเพื่อนบ้านโดยสงบสุขกับรัสเซียได้

นายกฯอนุทิน ก็ควรต้องมองเขมรอย่างแยกแยะให้ได้ อย่างที่ปูตินเขาแยกแยะยูเครนเหมือนกัน

 เหนืออื่นใด “แก้วสรร” ระบุว่า ถาม หมายความว่า ถ้าเขมรมันกัดเราอีก เราคงทำได้แค่ปฏิบัติการทางทหารอันจำเป็นเพื่อยุติการรุกรานเท่านั้นใช่ไหมครับ

ตอบ ผมเห็นเช่นนั้น ถ้าสกัดมันได้ หยุดมันได้ บวกด้วยความล่มจมทางเศรษฐกิจ จนเงินเรียลกลายเป็นกระดาษ ข้าง จีน รัสเซีย อเมริกา อาเซียน ยูเอ็น ก็เห็นสันดานแล้วเทฮุน เซน ลงชักโครก ตรงนี้จึงจะเป็นชัยชนะของสันติภาพได้ในที่สุด....

 ไม่เพียงเท่านั้น “แก้วสรร” ยังเห็นว่า ผู้นำคนใหม่ที่ไม่ใช่คน “ระบอบฮุน เซน” จะเจรจากันง่ายกว่านี้

 มาถึงบรรทัดนี้ ทำให้นึกถึงคำพูด “แม่ทัพภาคที่ 2” ขึ้นมาทันที ที่ว่า “ปัญหาไทย-กัมพูชาที่เป็นอยู่ เป็นเพราะนิสัยของ “ผู้นำ” ถ้าผู้นำดี ทั้งสองประเทศก็ไม่มีปัญหา ดูผู้นำเขาสิ”

อย่างนี้แล้ว คงพอจะนึกออกว่า “สันติภาพ” ไทย-กัมพูชาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร!?