การเมืองวิปริต

การเมืองวิปริต

การเมืองวิปริต ที่คนไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน ยังหาทางออกกันไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญถูกล็อกตาย แก้ไม่ได้ ต้องฉีกอย่างเดียว

KEY

POINTS

  • พรรคประชาชน ที่มี สส.มากที่สุด สร้างนวัตกรรมการเมืองใหม่ขึ้นมา สนับสนุนให้มี “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” กำลังทำให้เกิด “วิปริตการเมือง” รอบใหม่
  • พรรคเพื่อไทย เพิ่งเป็นรัฐบาลมาหมาดๆ แก้ปัญหาล้มเหลวเกือบทุกเรื่อง มีอำนาจเต็มมา 2 ปี แต่ทำอะไรคดีฮั้ว สว.และคดีเขากระโดงไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรม
  • ทั้ง 2 เรื่องต้องรอลุ้นการเปิดศึกกลางสภา งานนี้ใครตรวจสอบใคร ฝ่ายค้านเล่นกันเองหรือไม่ นี่คือปฐมบทของ “การเมืองวิปริต” รอบใหม่ 

การเมืองบ้านเรายิ่งเพิ่มดีกรีความวิปริตขึ้นไปอีกขั้น...

จากเดิมมีทหารขยันยึดอำนาจ ทำให้ประชาธิปไตยไม่ได้พัฒนา ประชาชนคนไทยไม่ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมือง เพราะมีบางคนชอบขับรถถังออกมา ทำท่าเป็น “อัศวินม้าขาว”

แต่พออยู่ๆ ไป ก็กลายเป็น “อัศวินม้าไม้” บ้างก็กลายร่างไปขี่ควาย หรือขี่หมาแทนก็มี

เมื่อรถถังกับกำลังทหารเริ่มใช้การไม่ค่อยได้ เพราะโลกไม่ยอมรับ ช่วง 2 ทศวรรษหลังจึงกลายเป็นยุค “มือที่มองไม่เห็น” มากำกับทิศทางการเมือง แถมคุมกลไกนอกขอบเขตอำนาจการเมืองระบบตัวแทนจากสนามเลือกตั้งทั้งหมด

ทหารก็ยังถูกใช้อยู่บ้าง แต่หลังๆ ลามมาที่ฝ่ายตุลาการ สร้างกลไกศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาปกครองประเทศเหนือรัฐบาล สร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็น “ยันต์” ใช้ปิดวาจา ปิดการกระทำของผู้คัดค้านทั้งปวง โดยอ้าง…“กติกาประเทศเขาว่าเอาไว้”

นี่คือการเมืองวิปริตที่คนไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน ยังหาทางออกกันไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญถูกล็อกตาย แก้ไม่ได้ ต้องฉีกอย่างเดียว (การจะฉีกก็ต้องขอใช้บริการทหารอีก มันวนกันอยู่แบบนี้)

ล่าสุดพรรคประชาชน พรรคที่มี สส.มากที่สุด ดันไปสร้างนวัตกรรมการเมืองใหม่ขึ้นมา ซึ่งไม่เหมาะกับประเทศไทยด้วยประการทั้งปวง นั่นก็คือไปสนับสนุนให้มี “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัฒนธรรมการเมืองแบบไทย และมันไม่มีอยู่จริงในบ้านเรา

การกระทำของพรรคส้ม กำลังทำให้เกิด “วิปริตการเมือง” รอบใหม่ ซึ่งพี่น้องคนไทยก็คงเริ่มแลเห็นกันบ้างแล้ว

และภาพจะปรากฏชัดที่สุดในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่จะมีขึ้นในช่วงสัปดาห์ปลายเดือนกันยายน ต่อต้นเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

เพราะจะเป็นการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่ลักลั่น และสะท้อนปัญหาของพรรคร่วมฝ่ายค้านเองมากกว่า

1.พรรคฝ่ายค้านไม่มีเอกภาพ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ยอมร่วมเป็น “วิปฝ่ายค้าน” แต่ขอเป็น “ฝ่ายแค้น”

 2.เสียง สส.ฝ่ายค้าน รวมกันเกือบ 300 เสียง หลักๆ คือ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชาติ แต่กลับไม่มีเอกภาพ ทำให้ล้มรัฐบาลยาก พรรคภูมิใจไทยสบาย

 3.พรรคเพื่อไทยแสดงท่าทีจ้องถล่ม และโจมตีพรรคประชาชนมากกว่าพรรคภูมิใจไทยเสียอีก เหมือนสวมบท “ฝ่ายแค้น” ที่พรรคประชาชนไม่ยอมสนับสนุนแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ทำให้ตกจากอำนาจ (เรื่องส่วนตัวล้วนๆ)

 4.ทั้ง 3 พรรค อาจต้องเผชิญปัญหา “ขว้างงูไม่พ้นคอ” เพราะ

พรรคประชาชน - โหวตหนุนคุณอนุทิน ทำให้เกิดรัฐบาลภูมิใจไทยขึ้นมาเอง แล้วจะพูดอะไรได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ ย่อมต้องคาดการณ์ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่ประการใด

ส่วนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เขียนไว้ใน MOA ไม่ชัด และจริงๆ จะเขียนชัดก็ไม่ได้ว่าภูมิใจไทยกดปุ่ม สว.สีน้ำเงิน อยู่ เมื่อเขียนชัดไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรผูกมัด ความหวังที่จะเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญตามที่พูดๆ กัน ก็อาจจะถูกล็อกประตูลั่นดาลกันต่อไป

เช่นเดียวกับการทำประชามติ ถ้ากระแสสังคมในช่วงที่ทำ (เช่น ทำพร้อมเลือกตั้งใหญ่) มันกลายเป็นว่าปัญหากัมพูชา ปัญหาเศรษฐกิจสำคัญกว่า 

เผลอๆ ประชามติรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน กลายเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อยู่ชั่วกัลปาวสาน

พรรคเพื่อไทย - เพิ่งเป็นรัฐบาลมาหมาดๆ แก้ปัญหาล้มเหลวเกือบทุกเรื่อง แล้วจะมีความชอบธรรมใดๆ ไปถล่มพรรคภูมิใจไทย

พรรคประชาชาติ และเพื่อไทย - เคยมีอำนาจเต็มมา 2 ปี แต่ทำอะไรคดีฮั้ว สว. และคดีเขากระโดงไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรมเลย

พูดถึงคดีฮั้ว สว. และกรณีที่ดินเขากระโดง กำลังถูกพรรคเพื่อไทยนำมาขยายผลเป็นการ “สางแค้นทางการเมือง” มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ชาติหรือไม่

โดยประเด็นที่คาดว่าจะนำมาแฉเพิ่มเติมในศึกอภิปรายนโยบายรัฐบาล คือ

หนึ่ง การแทรกแซงพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพราะกระบวนการเรียกสอบพยาน 1,200 ปาก ในคดี “อั้งยี่ ฟอกเงิน ฮั้ว สว.” ถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด โดย “กลุ่ม สว.สำรอง” ออกมาร้องเรียนว่า มี “มือที่มองไม่เห็น” เข้าไปแทรกแซงสั่งการ

สอง กรณีที่ดินเขากระโดง ก็กำลังมีกระบวนการกดดันข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ถึงขั้นที่จู่ๆ ก็มีการตั้งโต๊ะแถลงโดย “บิ๊กมหาดไทย” ตั้งแต่ปลัดกระทรวง รองปลัด และอธิบดีกรมที่ดิน ประกาศกร้าวไม่เห็นด้วยกับแนวทางของฝ่ายการเมืองที่นำโดย “มท.3” เดชอิศม์ ขาวทอง

แต่ทั้ง 2 เรื่องนี้ ต้องรอลุ้นการเปิดศึกกลางสภา เพราะมีข่าวว่า สส.ภูมิใจไทย เตรียมข้อมูลตอบโต้เอาไว้แบบนี้

หนึ่ง ใครกันแน่ที่แทรกแซงดีเอสไอ เพราะรัฐมนตรี 2 คนในรัฐบาลชุดที่แล้วมีคดีในศาลรัฐธรรมนูญ และ 1 ใน 2 คนถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในส่วนของการกำกับดูแลดีเอสไอ ในส่วนที่เกี่ยวกับคดีฮั้ว สว.ด้วย

สอง กรณีที่ดินเขากระโดง “บิ๊กมหาดไทย” ฝ่ายข้าราชการประจำ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวแล้วว่าพร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล แต่ขอให้ศาลพิพากษามาเป็นรายแปลง พิพากษาแปลงไหนมา กรมที่ดินพร้อมเพิกถอนทันที เหมือนกับ 35 แปลงที่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว

ขณะเดียวกันคดีนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยก็ยื่นฟ้องศาลปกครองอยู่ จึงควรรอผลคดี ซึ่งศาลจะชี้ว่า คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 61 และสุดท้ายสรุปผลว่าไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงนั้น ถูกต้องตามกฎหมายแล้วหรือไม่

พูดง่ายๆ คือให้การรถไฟฯ ไปฟ้องรายแปลงมา ทั้ง 900 กว่าแปลง แปลงไหนศาลตัดสินว่าเป็นที่รถไฟฯ กรมที่ดินก็เพิกถอนให้ทันที ส่วนจะให้กรมที่ดินไปถอนล่วงหน้า โดยอ้างคำพิพากษาคลุมๆ ว่าที่ดิน 5,083 ไร่เป็นของการรถไฟฯนั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากที่ดินแปลงพิพาทมีโฉนด หรือ นส.3 ที่ออกโดยกรมที่ดินเอง (การเพิกถอนต้องมีเหตุตามกฎหมาย) หากมีการเพิกถอนก็จะถูกผู้ครอบครองโต้แย้ง และเป็นคดีในชั้นศาลอีกทีอยู่ดี

สาม ทั้งคดีฮั้ว สว. และกรณีเขากระโดง พรรคเพื่อไทยมีอำนาจเต็มในการดำเนินการอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ผลเชิงประจักษ์ นอกจากสร้างกระแสทางจิตวิทยาการเมือง

 - เข้าไปเป็น รมว.มหาดไทย 2 เดือน ตั้งอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่เข้าไปแทนคนเก่า แต่กลับเพิกถอนโฉนดเขากระโดงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เคยประกาศว่า “วันเดียวจบ”

แปลว่าเรื่องจริงตามกฎหมาย ไม่สามารถเพิกถอนวันเดียวจบกับกรณีเขากระโดงได้...ใช่หรือไม่

- คณะกรรมการคดีพิเศษ มีมติตั้งแต่ 6 มีนาคม หรือกว่า 6 เดือนมาแล้ว ให้รับ “คดีอั้งยี่ ฟอกเงิน ฮั้ว สว.” เป็นคดีพิเศษ แต่ตลอดมากลับไม่สามารถออกหมายจับ หรือแจ้งข้อหาใครได้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจน เหตุผลของความล่าช้าคืออะไร ถูกดึง ถูกถ่วง หรือว่าหลักฐานไม่ชัดเจน

ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า ที่จะมีการออกหมายเรียก 1,200 คนนั้น เป็นพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่บางคนเมื่อถูกสอบในฐานะพยานแล้ว อาจโดนแจ้งข้อหาก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

สี่ มีข่าว กกต.เตรียมตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง หรือใช้ชุดเดิมทำงานต่อ เพราะมีข้อร้องเรียนจากอดีตผู้สมัคร สว.ว่า กลุ่มการเมืองสีอื่น ที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน ก็ดำเนินกระบวนการ “ฮั้ว” ไม่ต่างกัน แค่ทำไม่สำเร็จ แต่ความผิดถือว่าสำเร็จแล้ว

สรุปงานนี้ใครตรวจสอบใคร ฝ่ายค้านเล่นกันเองหรือไม่ ต้องรอดู...

นี่คือปฐมบทของ “การเมืองวิปริต” รอบใหม่ที่ทำให้การเมืองไทยซับซ้อน วนเวียน ไม่พัฒนา และน่าเบื่อยิ่งกว่าเดิม !