ฟอกไตฟรีทั้งหมดจำเป็นและคุ้มค่า หรือแค่การตลาดการเมือง??

กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมทันทีที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ประกาศนำนโยบาย“ฟอกไตฟรีทั้งหมด” กลับมาอยู่ในสิทธิประโยชน์บัตรทอง พร้อมสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบันทำให้สำเร็จภายใน 2 เดือน
ซึ่งนำนโยบายยุคของนายอนุทิน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 กลับมาใช้อีกครั้ง จากเดิมทีผู้ป่วยโรคไตที่ฟอกไตด้วยเครื่อง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครั้งละ 1,500 บาท บางรายต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ร่วมกันดูแลผู้ป่วยให้ครอบคลุมการรักษาทั้งหมด ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและครอบครัว
หลังจากดำเนินนโยบายดังกล่าวสปสช.พบว่าผู้ป่วยฟอกเลือดมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 5,500 คนในระยะเวลา 2 ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคร่วม ขณะที่ผู้ป่วยที่เลือกการล้างไตทางช่องท้อง (PD) มีอัตราการเสียชีวิตคงเดิม ผู้ป่วยติดเตียง หรือมีภาวะยากลำบากในการเดินทาง
การล้างไตทางช่องท้อง (PD) ซึ่งทำได้เองที่บ้านเหมาะสมกับคุณภาพชีวิตมากกว่าการเดินทางไปฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละหลายครั้ง งบประมาณสำหรับดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้พุ่งสูงขึ้นจากเดิมที่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท มาเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งเงินที่จ่ายชดเชยค่าบริการฟอกเลือดจะเพิ่มขึ้นจาก 9 % ของงบประมาณในระบบบัตรทองมาเป็น 20 % และอาจสูงถึง 30 % ในอีก 5 ปีข้างหน้า ค่ารักษาภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตก็เพิ่มขึ้นจาก 2,900 ล้านบาท เป็น 3,900 ล้านบาทต่อปี
บอร์ดสปสช.จึงปรับนโยบายเน้น“PD First”(ล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก)เมื่อวันที่ 4 พ.ย 2567 เนื่องจากเห็นว่ามีข้อมูลการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบ กลุ่มผู้ป่วยที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม มีจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตลดลง จากการเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยเอง เช่น กรณีเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีภาวะยากลำบากเดินทาง และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้ายและยังคงสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับสภาวะร่างกายของผู้ป่วย ขณะเดียวกันยังผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีปัญหาค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงค่ายาและเวชภัณฑ์บางชนิดที่อยู่นอกบัญชียาหลัก ความแออัดของสถานบริการ คิวเต็ม แม้จะได้รับสิทธิรักษาฟรีแต่ก็ยังเข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุข
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงสิทธิที่พึงมีได้อย่างสมบูรณ์ ทางออกที่ยั่งยืนจึงไม่ได้อยู่ที่การ “ให้ฟรี” เพียงอย่างเดียวแต่ต้องอยู่ที่การ “ให้สิทธิที่เหมาะสม” โดยมี “แพทย์” ร่วมตัดสินใจ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างบูรณาการ การ“รีแพ็กเกจ” สิทธิประโยชน์ โดยใช้ทีมสหวิชาชีพประเมินความเหมาะสมของผู้ป่วยก่อนเริ่มการล้างไต และการเน้นการ ป้องกันโรคไตและชะลอความเสื่อมของไตในระยะแรก คือแนวทางที่ถูกต้องเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาให้กับคนไข้ ภารกิจ “ฟอกไตฟรีทั้งหมด” จึงเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลว่า จะสร้างความคุ้มค่าที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ การเมืองต้องให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อมูลเชิงลึกจากผู้ปฏิบัติงานและวิชาชีพ เพื่อให้นโยบายที่ประกาศออกไปนั้น ไม่ใช่แค่ “การตลาดการเมือง” แต่เป็นการสร้าง “สิทธิพื้นฐาน” ที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหา “คิวเต็ม” และ “ภาระแฝง” ได้ นโยบายนี้ก็อาจกลายเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่สำหรับผู้ป่วยที่รอคอยความช่วยเหลือเท่านั้น







