"เกี่ยวอะไรกับเรา?" # 33 ภูมิศาสตร์การเมืองโลกกับเทคโนโลยี 5G

"เกี่ยวอะไรกับเรา?" # 33 ภูมิศาสตร์การเมืองโลกกับเทคโนโลยี 5G

เทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายยุคที่ 5 (5th Generation) หรือ 5G

มีคุณสมบัติและประโยชน์ด้านความเร็ว ระยะเวลาการเชื่อมต่อไปปลายทาง ความเสถียร Bandwidth รวมถึงการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวจะเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมโลกผ่านการส่งถ่ายข้อมูลมหาศาลอย่างรวดเร็ว แต่ประโยชน์นั้น ทำให้เทคโนโลยี5G เป็นสมรภูมิแห่งใหม่ในการแย่งชิงตำแหน่งมหาอำนาจโลกระหว่างสหรัฐฯและจีน เกี่ยวอะไรกับเรา? ฉบับนี้จะพิจารณา องค์ประกอบเทคโนโลยี5G ความพร้อมของสหรัฐฯและจีน รวมถึงผลกระทบภูมิศาสตร์การเมืองโลกในอนาคต

 

I. องค์ประกอบเทคโนโลยี5G:

 

เทคโนโลยี5Gแบ่งการใช้งานเป็น3แกน

 

1. Enhanced mobile broadband (eMBB) เพิ่มศักยภาพการรับ-ส่งข้อมูล ความเร็วสูงเพื่อตอบโจทย์การสื่อสารในอนาคตเช่น สตรีมวิดีโอความละเอียดสูง รวมถึงการทำงานบนข้อมูลผ่านCloudเพื่อโหลดภาพและข้อมูลทันทีที่ต้องการ

 

2. Massive machine type communications (mMTC) รองรับการเชื่อมต่อจำนวนมาก สามารถใช้งานอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) รวมถึงระบบ เซนเซอร์ ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ และทำให้สิ่งของในชีวิตประจำวัน สามารถส่งข้อมูลโดยไม่ต้องใช้ Wifi

                                     

3. Ultra-reliable and low latency communications (URLLC) การเชื่อมต่อที่เสถียรและตอบสนองไว เพื่อควบคุมอุปกรณ์ระยะไกลโดยไม่มีการดีเลย์ของภาพและเสียง สามารถปรับใช้ในระบบการศึกษา การแพทย์ รวมถึงการควบคุมยานพาหนะไร้คนขับ

 

แนวทางการดำเนินโครงการมักแบ่งเป็น2ช่วง 1.) Non-standalone (NSA) 5G คือการปรับใช้ระบบเครือข่าย4Gบนอุปกรณ์เชื่อมต่อเดิม แต่เพิ่มศักยภาพการรับ-ส่งข้อมูลของแกน eMBB    2.) Standalone (SA) 5G หรือ 5Gเต็มรูปแบบ ที่ต้องใช้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการติดตั้งเสาอากาศและระบบรับส่งสัญญาณใหม่ เพื่อรองรับแกน mMTC และ URLLC ซึ่งการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นในช่วง SA-5G บนการปรับใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อควบคุมการนำส่งข้อมูลของแต่ละธุรกรรม

 

II. ความพร้อมของสหรัฐฯและจีน:

 

ประเทศมหาอำนาจต่างพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐาน 5G เพราะนอกจากจะสามารถชี้นำแนวทางการสร้างและใช้เทคโนโลยีแล้ว หากรูปแบบของตนถูกรับเป็นมาตรฐาน รายได้จากสิทธิบัตร จะสามารถขับเคลื่อนวงจรการพัฒนาและรักษาความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นได้ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าจีน จากที่เคยถูกกีดกันการเป็นแกนหลักเพื่อกำหนด มาตรฐาน4G ได้วาง5Gเป็น หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของชาติและเป็นประเทศที่มีความพร้อมด้าน5Gที่สุด ผ่านการจัดตั้งคณะทำงาน IMT-2020 5G Promotion Group เพื่อกำหนดมาตรฐาน5Gได้ทันในค.ศ.2020 และมีแผนดำเนินการ NSA-5G ในปี2562 ตามมาด้วยSA-5G ในปี 2563 ซึ่งประเด็นที่แสดงถึงความต้องการของจีนในการเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี คือการวางเป้าหมายใช้งาน SA-5G เร็วกว่าสหรัฐฯถึง5ปี โดยมองความได้เปรียบของการเรียนรู้และทำตลาดก่อนใน2ประเด็น

 

1. การวางระบบ5Gผ่านภูมิประเทศที่กว้างใหญ่จะทำให้ประเทศอื่น ที่รอความชัดเจนของมาตรฐาน 5G เห็นว่าการใช้คลื่นความถี่ต่ำ (ต่างจากสหรัฐฯที่มองคลื่นความถี่สูง) สำหรับการสื่อสารทั่วไปในแกน eMBB  มีประสิทธิภาพเพียงพอและทำให้เกิดการยอมรับในมาตรฐานของจีน เพื่อสร้างโอกาสขยายตลาดไป สภาพยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียตะวันออกเชียงใต้และ กลุ่มประเทศลาติน อเมริกา

 

2. สามารถทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งาน5Gในแกน mMTC และ URLLCโดยจะทำให้พัฒนาการของเทคโนโลยีด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IoT Big Data Smart City และ Artificial Intelligence เป็นไปอย่างก้าวกระโดดและสร้างความได้เปรียบทางนวัตกรรมและมีอิทธิพลเหนือประเทศบนเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiatives) ผ่านการควบคุมการส่งถ่ายข้อมูลมหาศาลในเครือข่ายตน

 

III. ผลกระทบภูมิศาสตร์การเมืองโลก:

 

ความทะเยอทะยานของจีนทำให้ The Five Eyes หรือกลุ่มประเทศที่มีข้อตกลงแบ่งปันสัญญาณทางการข่าว ที่รวมถึง สหรัฐฯ    สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ ทยอยออกมาตรการกีดกันผู้ประกอบการ 5G ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เช่น Huawei และ ZTE โดยเริ่มจากรัฐบาลออสเตรเลียเมื่อเดือนสิงหาคม2561 ที่ได้ห้ามบริษัทออสเตรเลียใช้เทคโนโลยีจากบริษัท Huawei และ ZTE ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรที่กลับมาประเมินแนวทางการใช้ผู้ประกอบการ 5G จากจีนใหม่ ซึ่งหากดำเนินการออกมาตรการกีดกันเช่นออสเตรเลีย อาจทำให้ประเทศอื่นในสหภาพยุโรปดำเนินนโยบายตาม ส่วนสหรัฐฯ ท่ามกลางสงครามการค้ากับจีน ได้ออกหมายจับรองประธานและผู้บริหารฝ่ายการเงินของHuawei เมื่อเดือน เมษายน ตามมาด้วยการกดดันให้แคนาดาจับกุมตัวในเดือน ธันวาคม 2561 และคาดการณ์ต่อไปว่าจะมีคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมาภายในปี 2562 ที่ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติซึ่งคาดว่า Huawei และ ZTE จะอยู่ในรายชื่อนั้น

 

หากภูมิศาสตร์การเมืองโลกดำเนินตามแนวโน้มปัจจุบัน สงครามเทคโนโลยีที่แบ่งค่ายที่ชัดเจนระหว่าง สหรัฐฯและจีนจะทำให้ พัฒนาการของเทคโนโลยี5Gในภาพรวมชะลอตัวลงบนการประหยัดต่อขนาดของธุรกิจ (Economies of Scale) ที่ต่ำทำให้ต้นทุนอุตสาหกรรมสูงขึ้น และที่สำคัญประเทศอื่นๆโดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต้องเลือกข้างว่าจะไปกับ แนวทาง5G ของจีนบนต้นทุนเทคโนโลยีที่ต่ำแต่พอมีประสิทธิภาพ หรือเสี่ยงกับการตอบโต้ทางการค้าและการเมืองจาก สหรัฐฯ

 

ผมมีความเห็นว่าจีนจะทำข้อเสนอ5Gพิเศษให้กลุ่มประเทศที่โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21ตัดผ่าน เพื่อเป็นการคานอำนาจสหรัฐฯและขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสงครามทางเทคโนโลยี5G จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางภูมิศาสตร์การเมืองโลกจากนี้ไปครับ