เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตกตัญญูรู้คุณพระพุทธศาสนา หากเปรียบพระพุทธศาสนาเป็นศาสนนาวาลำหนึ่ง ที่วิ่งขนถ่ายสัตว์โลกข้ามฟากนับถึงวันนี้ 2600 กว่าปี
เรือใหญ่ลำนี้ดำเนินตามหน้าที่อย่างซื่อตรง มั่นคง แน่วแน่ อย่างตรงครรลองธรรมมาโดยตลอด ไม่เสื่อมสูญในอุดมการณ์ 3 หลักการ 4 ข้อปฏิบัติ 6 ที่พระพุทธองค์ผู้เป็นเจ้าของศาสนะหรือสาสนะนี้ ที่ทรงเรียกว่า พระธรรมวินัยได้แสดงไว้ .. ประกาศไว้ดีแล้วอย่างท้าทายต่อโลกียะหรือโลก ที่เปลี่ยนแปลง หาความเที่ยงแท้มิได้เลย
ในสายธรรมโลกียวินัยที่ผันผวนแปรปรวนเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด แต่หาได้ส่งผลใดๆ ต่อพุทธศาสนนาวาลำนี้ไม่ ด้วยอำนาจธรรมที่สมบูรณ์ในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ที่ประดิษฐานอยู่บนศาสนนาวาดังกล่าว ให้หมู่ชนหรือสัตว์โลกที่มีธรรมวิสัยพร้อมสติปัญญาได้ศึกษาปฏิบัติ
ด้วยความเป็นอมตธรรมของพระธรรมคำสั่งสอนทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์จากพระพุทธโอษฐ์ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือเหตุปัจจัยแห่งโลก จึงทำให้สัตว์โลกที่มีศรัทธา ประกอบความเพียรชอบอย่างมีสติปัญญา ดำเนินไปบนมรรคาสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ อริยมรรคองค์ 8 ยังสามารถข้ามฟากถึงฝั่งโน้น (พระนิพพาน) ได้อย่างเป็นปกติ สมกับพระพุทธดำรัสว่า “ตราบที่ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม โลกนี้ย่อมไม่ว่างเว้นพระอรหันต์”
ตามที่อาตมากล่าวมาเพื่อสะกิดจิตใจญาติโยม ตลอดจนเพื่อนสหธรรมิก ที่พยายามคิดนึกพูดทำออกนอกกรอบพระธรรมวินัย ให้ได้ฉุกคิด กลับมาศึกษาพระธรรมวินัยกันอย่างจริงจัง เพื่อปฏิบัติกันอย่างจริงใจ ไม่มัวเมากามจนสิ้นบุญ ไม่มัวเมาบุญจนสิ้นความดี หมดวาสนาบารมีที่เคยสั่งสมมาดังตัวอย่างมีให้เห็นในทุกกาลสมัย หรือในปัจจุบัน ดังที่อดีตพระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลายต้องสละเพศสมณะ .. หรือต้องเผ่นหนีไปทั้งที่ถือฐานะบรรพชิต ผู้หาญกล้าที่จะต่อสู้กับมาร
แม้ผู้ที่ยังครองสมณฐานะในปัจจุบัน ก็ใช่จะเย็นจิตสงบใจ หากไม่มุ่งตั้งหน้าศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งหน้าสู่ฝั่งกระโน้น คือ พระนิพพาน ด้วยกาลเวลาที่ลากมายาวนานถึงปัจจุบัน จึงทำให้เกิดอุปาทานโง่ๆ ในใจของบางคน บางคณะว่าพระนิพพานจะยังมีอยู่หรือ... การเข้ามาบวชถือเพศพระในปัจจุบันน่าจะเอาแค่สั่งสมบารมีไปเกิดเป็นเทพยดา รอศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปน่าจะดีกว่า จะได้ฟังธรรม ศึกษาปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังเพื่อพระนิพพาน .. น่าจะเป็นไปได้กว่า ชาตินี้จึงน่าจะสร้างบุญกุศลแบบสั่งสมหน่วยกิตน่าจะดูดีที่สุดแล้ว...ฯลฯ ..คำว่า.. น่าจะ.. น่าจะ.. จึงกลายเป็นอุปาทานในอุปาทานขันธ์ ๕ ที่เกิดจากจิตโง่ ให้คิดนึกปรุงแต่งไปตามอำนาจอวิชชาที่ไม่จบสิ้นในความน่าจะ.. น่าจะ..
เมื่อความคิดผิดเพี้ยนเกิดขึ้นในจิตใจตามที่ดำริ จึงก่อเกิดทิฏฐิที่ไม่ตรงธรรม ..เมื่อทิฏฐิผิดไปจากธรรม ความโลภ ความพยาบาท หรือความรัก-ความชังจึงเข้าถือครอบครองจิต ที่เรียกว่า อุปกิเลส จนจิตเศร้าหมองเร่าร้อน .. ก่อปฏิกิริยาความอยากในทุกขณะ จนยากจะควบคุมให้ทะเยอทะยานไปตามเสียงคลื่นแห่งมาร ที่ผูกมัดจิตวิญญาณสัตว์ทั้งหลายให้ข้องติดกับโลก เมื่อจิตข้องโลก สังโยชน์ก็เกิด นิวรณ์ธรรมก็ก่อ จนจิตสิ้นอิสรภาพ ขาดสติปัญญา ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมาร ที่บังคับบัญชาให้จิตแสวงหา สนองตอบตามความต้องการที่มารก่อร่างสร้างรูปและภพขึ้น
เรื่อง อุปกิเลส จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สาธุชนควรศึกษาเพื่อรู้จักมาร พระพุทธองค์เปรียบอุปกิเลสเสมือนมลทินเศร้าหมอง “..จิต เหมือนกับผ้า เมื่อไหร่ผ้าเปื้อนมลทินเศร้าหมอง ผ้าผืนนั้นจะสูญเสียความสะอาดบริสุทธิ์ไป ฉันใดก็ฉันนั้น จิต เมื่อรับอุปกิเลสที่จรเข้ามา จะยังให้จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นหวังได้ฉันนั้น..” โดยแสดงให้เห็นหน้าตาของอุปกิเลสมี 16 ตัว ได้แก่ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความละโมบ เพ่งเล็งอยากได้แม้ของผู้อื่น) , ความพยาบาท (ความปองร้ายเขา) , โกธะ (ความโกรธ) , อุปนาหะ (ความผูกใจเจ็บ) , มักขะ (ยกตนข่มท่าน) , ปลาสะ (ตีตัวเสมอท่าน) , อิสสา (ริษยา) , มัจฉริยะ (ตระหนี่) , มายา (มารยา) , สาเฐยยะ (โอ้อวด) , ถัมภะ (หัวดื้อ) , สารัมภะ (แข่งดี) , มานะ (ถือตัว) , อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) , มทะ (มัวเมา) และปมาทะ (ความประมาท) .. กิเลสเหล่านี้ ล้วนเป็นธรรมเศร้าหมองของจิต จึงไม่แปลกหากพบเห็นบุคคลทั่วไปที่ยังเกลือกกลั้วกับกิเลส จะได้คิดนึกพูดทำ แต่ในสิ่งเป็นบาปอกุศล แม้จะได้ชาติตระกูล ฐานะ ความรู้ การศึกษามาดีพร้อม และจึงไม่แปลกที่แม้จะสละเพศฆราวาสสู่บรรพชิต ครองสมณเพศในพุทธศาสนา แต่ยังทำอะไร .. คิดอะไร พูดอะไร อย่างไม่เป็นสมณะ.. ทั้งนี้ เพราะการขาดความใส่ใจในการศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัย ที่สำคัญคือ การมีจิตเกลือกกลั้วอยู่กับกิเลส จนอุปกิเลสทั้ง 16 จรเข้ามาเยือนจิต .. ประกอบอยู่กับจิตนั้น ให้จิตเศร้าหมองเล่น .. เพื่อเป็นเครื่องเล่นของกิเลส ที่ควบคุมจิตด้วยสายพันธนาการทั้ง 16 สาย ที่เรียกว่า อุปกิเลส 16 จนจิตสูญเสียอิสรภาพ หมดสิ้นคุณค่าความสะอาดไป .. อย่างที่เป็น..!!
เจริญพร