หน้าตาของ “หุ้นในอนาคต”

หน้าตาของ “หุ้นในอนาคต”

ผมเป็นคนชอบอ่านบทความที่เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคต หนึ่งในบทความที่ผมชอบอ่านก็จะเป็นของคุณ Benjia Ma ซึ่งเขาเป็นนักกลยุทธ์ตลาดทุน

ของธนาคาร Bank of America Merrill Lynch และเขาเองเคยพูดเอาไว้ว่า อนาคตกำลังวิ่งเข้ามาเร็วเกินกว่าที่...นักลงทุนคาดไว้ ในปี 2020 เราจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถวิ่งไปไหนต่อไหนโดยไม่ต้องคนขับ จากนั้น AI (Artificial Intelligence - ปัญญาประดิษฐ์) และ IOT (Internet of Things) ก็จะหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตประจำวัน 

ดังนั้น ถ้าเราสามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เราก็อาจจะเข้าใจถึงหุ้นในอนาคตที่น่าจะลงทุนในเวลานี้ก็เป็นได้ วันนี้ผมจึงอยากพาคุณผู้อ่านไปดูรูปร่างหน้าตาของหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศบางตัว ที่มีโอกาสจะเป็น “หุ้นในอนาคต” ซึ่งอาจจะมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนในอนาคตเป็นเท่าทวีคูณก็เป็นได้ ดังนี้ครับ

หุ้นกลุ่ม FAANG อันประกอบไปด้วย Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google  หุ้นกลุ่มนี้คุณผู้อ่านคงคุ้นเคยกันดี ผมจึงขออนุญาตไม่กล่าวถึงในรายละเอียด หุ้นทั้ง 5 ตัวในกลุ่มนี้มีทั้งเทคโนโลยี บุคคลากร และที่สำคัญที่สุดมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ดังนั้นคงมั่นใจได้ว่า หุ้นกลุ่มนี้จะไปได้อีกไกลแสนไกล ในเวลานี้เอง Apple ก็ได้เป็นบริษัทแห่งแรกของโลกที่มีมูลค่าการตลาดสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว และในปีนี้หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มนี้ก็มีราคาสูงขึ้นจนทำสถิติสูงสุดใหม่ไปด้วยแล้ว อนาคตในระยะยาวของหุ้นกลุ่มนี้จึงยังคงสดใสและมีราคาหุ้นที่แข็งแกร่งต่อไป

หุ้นกลุ่ม BAT อันประกอบไปด้วย Baidu, Alibaba และ Tencent (เจ้าของแอพ WeChat) ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นหุ้นเทคโนโลยีของจีน เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มแรก...หุ้นกลุ่มนี้ก็มีทรัพยากรอย่างมหาศาล แต่สิ่งที่อาจจะมีมากกว่าหุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นกลุ่มนี้มีตลาดลูกค้าในประเทศจีนมากกว่าพันล้านคน ที่แอพต่างชาติไม่สามารถเข้าไปเจาะตลาดได้เลย ดังนั้นเพียงแค่ตลาดจีนตลาดเดียวก็ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของหุ้นกลุ่มนี้แข็งแกร่งขึ้นเป็นอักโขแล้ว

หุ้น Visa (V)  เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการเงินของอเมริกา วีซ่ามีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่องของบัตรเครดิต บัตรเดบิท และกิฟท์การ์ด ในปี 2014 วีซ่ามีธุรกรรมมากกว่า 100,000 ล้านธุรกรรม โดยมีมูลค่ารวมสูงกว่า 6,800 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันวีซ่าเป็นบริษัทที่ให้บริการทางด้านการชำระเงินใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก (แต่ก่อนเป็นที่ 1 แต่ถูก China Union Pay แซงขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ในปี 2015) จุดเด่นของวีซ่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อคือ Advanced Technology วีซ่าจะพยายามสรรหาเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ระบบการชำระเงินมีประสิทธิภาพมากที่สุด และปลอดภัยที่สุด Partners วีซ่าพยายามร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ เช่น Samsung, Google, Microsoft เป็นต้น เพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจของตนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และ Brand บัตรวีซ่าและบัตรมาสเตอร์การ์ด เป็นเพียง 2 บัตรเท่านั้นที่มีเครือข่ายขยายไปทั่วโลก แม้ว่าจะมีบัตรอื่นๆ อีกมากมายก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่า 2  บัตรนี้ โดยบัตรวีซ่า ยังคงเป็นแบรนด์เบอร์ 1 ของคนทั่วโลก

หุ้น NVDA (NVIDIA)  ชื่อนี้โด่งดังมากในหมู่นักเล่นเกมคอมพิวเตอร์ในบ้านเราและทั่วโลก เพราะเขาทำการ์ดจอที่ช่วยทำให้การเล่นเกมสนุกขึ้น ปี 2014 บริษัทนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำใน 4 ตลาดด้วยกันคือ ตลาดเกม ตลาดการทำกราฟฟิกขั้นสูง ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุปกรณ์ไฮเทคในรถยนต์ ในอนาคต NVIDIA คงมุ่งเน้นอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ที่เน้น Deep Learning และ AI และมุ่งเจาะไปในตลาดเกม ตลาดรถยนต์ และให้บริการต่างๆ ใน Smart Cities

หน้าตาของ “หุ้นในอนาคต”

ภาพห้าง Five Below กำลังเปิดห้างใหม่ และมีผู้คนเข้าคิวรอซื้อสินค้าอยู่

หุ้น FIVE (Five Below)  บริษัท Five Below ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 และทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่ขายสินค้าที่มีราคาไม่เกิน 5 ดอลลาร์ สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ขายให้แก่วัยรุ่น โดย Five Below ถือได้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีส่วนแบ่งในตลาดสินค้าวัยรุ่นสูงที่สุด แต่ Five Below ไม่ได้วางตัวเองเป็นห้างขายสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเหมือนห้างขายของถูกทั่วไป แต่กลับวางตัวเองให้ขายสินค้าเพียง 8 ประเภทเท่านั้นคือ สินค้าเทคโนโลยี สินค้ากีฬา สินค้าตกแต่งห้อง สินค้าการจัดปาร์ตี้ สินค้าที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ สินค้าไอเดียใหม่ๆ ลูกอมต่างๆ และสินค้าตามเทศกาล

มาถึงบรรทัดนี้ คุณผู้อ่านคงพอจะเห็นหน้าตาของ “หุ้นในอนาคต” กันบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นต่างๆ ที่ผมได้นำมาคุยให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจในวันนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศทั้งสิ้น เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจถึงแนวโน้มในอนาคต และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับความรู้ด้านการลงทุนของคุณผู้อ่านเอง ท้ายนี้... ขอให้คุณผู้อ่านใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุนทุกครั้ง และโชคดีในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com