อำนาจสองหน้า ภาษาสองบท

อำนาจสองหน้า ภาษาสองบท

แม้จะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญของการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในแต่ละสังคม

แต่การที่แต่ละภาษาล้วนถูกสร้างขึ้นภายใต้เงื่อนไข ระเบียบ แบบแผน กฎเกณฑ์ กระบวนการใช้อันมากมาย ภาษาจึงมี/ เป็นอำนาจที่สามารถควบคุม กำกับความคิด สร้างความหมาย ความรู้ ความจริงให้กับสมาชิกของสังคมด้วยกระบวนการและวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ในแง่นี้ภาษาจึงเป็นทั้งอำนาจในตัวเองที่เรียกว่า อำนาจของภาษา และผู้ใช้ภาษา ที่สร้างภาษาและทำให้ภาษามีพลังอำนาจขึ้นมาอย่างสลับซับซ้อน หรือที่เรียกว่า ภาษาของอำนาจ

ในสังคมที่มีโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม แบบอำนาจนิยม อุปถัมภ์ มีความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม หรือตกอยู่ในอยู่ในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความขัดแย้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย จะพบว่าผู้มีอำนาจจะสร้างภาษาผ่านการพูด การกระทำ การปฏิบัติการทางภาษา การปฏิบัติการทางสังคมและการเมือง สำหรับการรณรงค์ โฆษณาชวนเชื่อ ครอบงำ กดขี่ ปิดบังอำพราง รีดเร้น เค้นหา จัดระเบียบผู้คนในสังคมอย่างเข้มข้น

กระนั้น ภาษาก็ไม่ได้ถูกผูกขาดโดยผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว ยิ่งในยุคสมัยที่ศูนย์กลางอำนาจได้ถูกพังทลายลง ทำให้เกิดเครือข่าย พลังอำนาจใหม่ๆ ในหลายที่ หลากทิศทางที่เอื้อเกื้อให้ผู้คน ประชาชน พลเมือง หรือคนตัวเล็กตัวน้อยได้ใช้ภาษาเป็นช่องทางในการต่อรอง ต่อต้าน คัดค้าน ขัดขืน และ/ หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียว

โดยที่การปฏิบัติการและกระทำการทางภาษาของอำนาจนั้น โดยทั่วไปจะในรูป ชุดกระทำ ที่ต่อเนื่อง เชื่อมโยงจากสถานการณ์หนึ่งไปสู่สถานการณ์หนึ่ง หรือสถานการณ์อันอำนวยทั้งในและนอกในบริบทในพื้นที่-สนามทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม และอื่นๆ ที่สามารถแสดงอำนาจได้

ดังจะเห็นได้จากการดำเนินนโยบายการเมืองของรัฐบาล หน่วยงาน กลไกรัฐ ที่มีการใช้อำนาจทั้งในทางตรงด้วยกำลัง การใช้กฎหมายปกติ กฎหมายพิเศษ และทางอ้อมด้วยอำนาจนำทางวัฒนธรรม สกัดกั้น ตัดตอนการเคลื่อนไหว ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน หรือกระทั่งการดำเนินคดีระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ ที่เรียกว่า การฟ้องคดีปิดปากเพื่อยับยั้ง ขัดขวางการชุมนุม เช่น การดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนุมจำนวน 17 คน ที่เรียกร้องไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ด้วยการเดินเท้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ประชาชนทั่วไปเคารพกฎหมาย การจริงจังกับการดำเนินคดีเล็กคดีน้อย แต่เพิกเฉยดำเนินการกับผู้บุกรุกผืนป่า การออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ การอ้างยืมนาฬิกาด้วยมาตรฐานจริยธรรมที่คลุมเครือ กำกวม การดำเนินคดีที่อืดอาดในคดีล่าเสือดำและสัตว์ป่าหายากในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ทั้งที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมแบบคาหนังคาเขา พร้อมของกลางนานาชนิด คือตัวเร่งสำคัญที่ทำให้คำอำนาจ คนดีที่เสียสละ เสื่อมมนต์ขลังลงอย่างรวดเร็ว

ในเชิงระบบและโครงสร้างทางการเมือง ที่สำคัญคือ

1.การเขียนรัฐธรรมนูญ ด้วยข้ออ้างปราบโกง หรือ รัฐธรรมนูญปราบโกง ทำลายหลักประชาธิปไตยลงไป การทำให้กฎหมายทั่วไปมีอำนาจเหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญ การสถาปนาอำนาจ-ให้ความสำคัญกับอภิชนแทรกแซงรัฐบาล สภานิติบัญญัติได้โดยง่าย เป็นปกติ และเปิดเผย

2.การบิดเบนเจตนารมณ์ของการ เลือกตั้ง” ให้เป็น ความชั่วร้าย” การ “ โยนบาปความผิด รับชอบความดี” ผ่านการกล่าวซ้ำต่อเนื่อง และเป็นเหตุ เงื่อนไข ปัจจัยที่ต้อง “อยู่ต่อ ด้วยภาษา/ คำอำนาจ ที่ว่า การทำงานที่ต่อเนื่อง เสียสละเพื่อส่วนรวม ของกลุ่มอำนาจ ที่ยึด/ ถือ/ ครองอำนาจอยู่ในปัจจุบัน

3.การดำเนินนโยบาย ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบไทยนิยม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยวิธีการรวมศูนย์การตัดสินใจ การผูกขาดการจัดการด้วยระบบราชการและเครือข่ายเก่าๆ ผ่านทางโครงการ ไทยนิยมยั่งยืน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนการปฏิรูป ประเทศไทย 4.0 และประชารัฐที่มีการทุ่มงบประมาณลงไปในพื้นที่ชุมชน หมู่บ้านอย่างมากมาย

เมื่อพิจาณาความเชื่อมโยงภาษาของอำนาจ การปฏิบัติการทางภาษาและการเมือง ที่สอดรับอย่างเป็นระบบ ในลักษณะ อำนาจสองหน้า ภาษาสองบท ทั้งที่ แจ้งชัด และ อำพราง สร้างความคลุมเครือ ผนวกกับกลไก มาตรการที่มีทั้งการกด บด เบียด ผลักไส ไล่ส่งประชาชน คนเห็นต่าง ไม่เข้าพวก ที่มีมาต่อเนื่องก่อนหน้า เท่ากับเป็นการตอกย้ำ สร้าง ความแปลกหน้า” ที่ยิ่งสร้างความขัดแย้ง เร่งเติมเชื้อไฟแห่งการเกลียดชัง ทำให้ถอยห่างจากความเป็นประชาธิปไตย ถ่างความเหลื่อมล้ำ สร้างความอยุติธรรมในสังคมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

แต่ดังที่ได้กล่าวในข้างต้นว่า ภาษาไม่ได้ถูกผูกขาด โดยผู้มีอำนาจเพียงฝ่ายเดียว ในทางกลับกันผู้คน ประชาชน พลเมือง ก็ใช้ภาษาเป็นช่องทางในการต่อรอง ต่อต้าน คัดค้าน ขัดขืน และ/ หรือสร้างการเปลี่ยนแปลง สั่นสะเทือน ท้าทายผู้มีอำนาจ กลไกรัฐราชการ ที่ถือเป็นการ “เปิดทาง” ให้เกิดการสร้างภาษาและการเคลื่อนไหว ที่ เรียกคืนการเมือง” ของประชาชน และ “การรับรู้” ของคนทั่วไป ในหลายกรณี เช่น การเดินเทใจให้เทพายุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดินด้วยรักจากปากบาราถึงเทพา รวมพลคนอยากเลือกตั้ง ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูพ (P-Move) เป็นต้น

ในขณะที่ “ภาษาของอำนาจ” หลุดจากการควบคุมของผู้มีอำนาจ และไหลย้อนกลับมาบั่นทอนความน่าเชื่อถือผู้มีอำนาจเพราะระยะแรกภาษาและอำนาจ อาจแก้ไขปัญหาในทิศทางที่สอดรับกับอารมณ์ ความรู้สึก สร้างความหวัง แต่การแอบหยิบฉวยผลประโยชน์จากวิกฤติ การปั่นสถานการณ์ การยืด-สืบอำนาจ พฤติกรรม การแสดงอารมณ์ทำให้กลัวเกรง ได้เผยธาตุ คนดีที่หลอกลวง” “ปากอย่างใจอย่างและกลายเป็นวิกฤตพุ่งเข้าในที่สุด

ทางที่ดีที่สุดในวันนี้ คือ การคืนพื้นที่ทางสังคมและการเมืองให้ประชาชน พลเมือง สามารถสร้างภาษาสามัญ เปล่งเสียง ทำนองแห่งในแบบฉบับและลีลา ที่อารยะยอมรับและปฏิบัติ เพื่อไปให้ถึง อนาคตที่ใฝ่ฝันร่วมกัน ด้วย ภาษาของเราทุกคน

 

โดย...

รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์

คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ