เมื่อภูเก็ตยังต้องพึ่งจีน

เมื่อภูเก็ตยังต้องพึ่งจีน

นับแต่เรือล่มกลางทะเลอันดามัน เมื่อ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ผมว่าเราได้เห็น “ความจริง” ที่เมืองภูเก็ตกำลังเป็นอยู่ในเวลานี้

ซึ่งจะต้องชำระสะสาง ยกเครื่องครั้งใหญ่

เดิมทีเดียว รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ต้องการยกสถานภาพและพัฒนาเมืองภูเก็ตเป็นศูนย์กลางการประชุมระดับโลก กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นเจ้าภาพเสนอถมทะเลเพื่อสร้างเกาะขึ้นมา 2 เกาะ บริเวณแหลมสะพานหิน แต่ได้รับการคัดค้านจากคนในพื้นที่ เกรงจะถูกปิดกั้นมิให้เข้าไปเที่ยวชายหาดบริเวณดังกล่าว โครงการจึงพับไป

ต่อมา รัฐบาลเดียวกัน เสนอทบทวนสถานที่สร้างหอประชุม และศูนย์แสดงสินค้า ด้วยงบประมาณ 600-700 ล้านบาท โดยไม่มีโรงแรม เลือกบริเวณหาดไม้ขาว ซึ่งมีความเหมาะสม และเพื่อกระจายความเจริญมาที่ฝั่งหัวเกาะ อยู่ใกล้สนามบิน และยังได้กลุ่มคนจากจังหวัดพังงา อีกด้วย ทว่า ก็มีกระแสอนุรักษ์ เนื่องจาก หาดไม้ขาว เป็นแหล่งที่เต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ ในที่สุดยังไม่มีการดำเนินการ จึงมีการโยกงบนี้ไปสร้างศูนย์ประชุมที่จ.เชียงใหม่ แทน

จากเมืองที่วางให้เป็นศูนย์กลางการประชุมระดับโลก แต่ทำไม่ได้ รัฐบาลช่วงหลังเปลี่ยนนโยบาย หารายได้จากท่องเที่ยว และจีน ถือว่า เป็นตลาดใหญ่

เมื่ออุบัติเหตุ ทางเรือเกิดกับคนจีน ทำให้เกิดอาการช็อก นักท่องเที่ยวชะลอมาเที่ยวไทย ประกอบกับเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ด้วย

ถึงกระนั้น ตัวเลขยกเลิกห้องพักจะเห็นเป็นรูปธรรมก็ประมาณเดือนหน้า

สำหรับประเทศไทย มาตรการเฉพาะหน้า คือ สร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย ทัพเรือภาค 3 ส่งทหารเรือไปตรวจสอบความเรียบร้อยบริเวณท่าเรือภูเก็ต ซึ่งเดิมหน้าที่นี้เป็นของกรมเจ้าท่า แต่การหละหลวม คือต้นเหตุของอุบัติเหตุ

มาตรการต่อมา ผู้ประกอบการท่องเที่ยว จะต้องทำให้ถูกต้อง คือการนำทัวร์ออกทะเล สำหรับเรือ 1 ลำ ต้องมีกัปตัน 1 คน วิศวกรเรือ 1 คน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งจะออกเรือไม่ได้ ผมทราบมาว่าผู้ประกอบการฯ ยื่นขอใบอนุญาตกัปตัน วิศวกร เรือสำรองไว้กรณีมีคนขาด เพื่อไม่ให้เสียลูกค้า

ประการสำคัญ รัฐต้องตระหนักในหน้าที่ ผมได้ยินมาว่า เรือฟีนิกซ์ลำที่ล่มนั้น คนมาตรวจและให้ใบอนุญาต มาจากส่วนกลาง ทำไมจึงเป็นคนจากกรุงเทพฯ ไปตรวจเรือ หลังจากกู้เรือขึ้นมาแล้ว ความจริงหลายอย่างคงปรากฏ

หากไทยเรายังหวังรายได้ด้านท่องเที่ยวกลุ่มคนจีน สิ่งทีต้องเร่งทำคือ ความชัดเจนด้านการจ่ายเยียวยาคนเจ็บคนตาย และความมั่นใจด้านความปลอดภัย เราต้องทำจริงจัง ต่อเนื่อง