70 ปี WHO มุ่งมั่นสร้าง “สุขภาพดีถ้วนหน้า”

70 ปี WHO มุ่งมั่นสร้าง “สุขภาพดีถ้วนหน้า”

เมื่อ 70 ปีที่แล้ว ประชาคมโลกมีปฏิญญาร่วมกันที่เมืองอัลมา อะต้า ว่า ในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อเริ่มศตวรรษที่ 21 สุขภาพจะดีถ้วนหน้า

และเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันด้วยบริบทโลกาภิวัฒน์ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปมาก ประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำจำนวนมากต้องเผชิญกับปัจจัยคุกคามสุขภาพประชาชน ทำให้ประชาคมโลกต้องนิยาม การผลักดันทางนโยบายใหม่ ให้ประชาชนของประเทศเหล่านี้เข้าถึงบริการสุขภาพและมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ปกป้องความอยุติธรรมในสภาพสังคมและเป็นไปตามเป้ามายพัฒนาที่ยั่งยืน

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ มีประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำอยู่จำนวนมาก ที่ต้องพัฒนาระบบสาธารณสุขให้มี หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อทุกคน ทุกหน ทุกแห่ง (Universal Health Coverage: Everyone, Everywhere) คำขวัญรณรงค์ในวันอนามัยโลก และวันครบรอบการก่อตั้ง องค์การอนามัยโลก ปีนี้ เมื่อ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา ตรงกับช่วงเวลาประเทศศรีลังการรับมอบเอกราชจากประเทศอังกฤษ ครบรอบ 70 ปีเช่นกัน สำนักงานองค์การอนามัยโลก ประจำศรีลังกาและรัฐบาล ศรีลังกาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเฉลิมฉลอง เชิญเหล่าผู้แทนประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก รวมทั้งมัลดีฟ และประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม

ในโอกาสนี้ผมและ นพ.พีระมน นิงสานนท์ ผอ.สำนักเลขาธิการและประชาสัมพันธ์ สปสช. ได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ในฐานะผู้แทนไทย ทำให้มีโอกาสรับทราบข้อมูลการดำเนินระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประเทศศรีลังกา

ศรีลังกา มีขนาดเล็กกว่าไทย 8 เท่า ประชากรน้อยกว่า 3 เท่า ส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมือง ขณะที่เศรษฐกิจมีขนาด 1 ใน 5 ของไทย จัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ระดับปานกลาง-ล่าง แต่หลังปี 2552 สิ้นสุดสงครามในประเทศ ศรีลังกาถูกจับตาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงถึงปีละ 7.1% ในช่วง 5 ปี เป็นการขยายตัวสูงสุดในภูมิภาคเอเชียใต้ ขณะที่ภาพรวมประชากรมีคุณภาพ อัตราการรู้หนังสือสูงถึง 91% สูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศในระดับเดียวกัน อันเป็นผลจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายการศึกษาที่ต่อเนื่อง

รายงานองค์การอนามัยโลก ระบุ ศรีลังกาเป็นประเทศที่มีการจัดระบบสุขภาพที่ดี ดำเนินนโยบายหลักประกันสุภาพถ้วนหน้าเพื่อรองรับการเข้าถึงบริการสุขภาพให้กับประชาชน เมื่อดูค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ อยู่ที่ 3.8% เป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าไทย แต่ประชาชนทั่วไปต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสุขภาพเองเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 46% ส่วนไทยอยู่ที่ 12% เพราะสิทธิประโยชน์การรักษาและบริการสุขภาพในระบบที่ยังไม่ครอบคลุมรายการจำเป็นต่อการรักษาและบริการสาธารณสุขเพียงพอ โดยงบประมาณมีเพียงรัฐบาลจัดสรรสเงินสนับสนุนและการช่วยเหลือจากต่างประเทศที่ให้กับหน่วยบริการ เรียกว่าเป็นระบบ Government sponsor การจัดบริการของโรงพยาบาลรัฐ จึงขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ได้รับแต่ละงวด ส่วนหมอที่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐอยู่ในภาวะสมองไหล ส่งผลต่อคุณภาพบริการในระบบ

จากความแตกต่างด้านฐานะ ทำให้คนยากจนต้องรับบริการสุขภาพในโรงพยาบาลรัฐภายใต้ระบบ ตามที่รัฐจัดให้เท่านั้น บางคนเลือกรับบริการจากแพทย์พื้นเมืองแทน คนที่พอมีรายได้อาจซื้อประกันเอกชนแทน จ่ายเบี้ยประกันเดือนละ 16,000 รูปีศรีลังกา ส่วนคนโสดเบี้ยประกันรายบุคคลอยู่ที่เดือนละ 5000 รูปีศรีลังกา ทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำระดับปริญญาตรีอยู่ที่ประมาณเดือนละ 25,000 รูปีศรีลังกา เท่ากับว่าคนศรีลังกาต้องจ่ายเบื้ยประกันถึง 1 ใน 5 ของรายได้ เพื่อเข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสุขภาพ ทั้งยังจำกัดเพียงสิทธิประโยชน์บริการสุขภาพพื้นฐาน (basic benefit package) นั่นหมายความว่าการรักษาอะไรที่แพง เช่น ยามะเร็ง สายสวนหัวใจ รักษาธาลัสซีเมีย ต้องร่วมจ่าย (co payment) คนศรีลังกาในชนบทคงลำบากมาก

แม้ว่าศรีลังกาจะมีการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (Primary health care) มีศูนย์บริการสุขภาพ (Health Center) กระจายทั่วประเทศแล้ว แต่ยังขาดแคลนทั้งหมออนามัย พยาบาล และหมอเวชศาสตร์ครอบครัว หรืแม้แต่ยาจำเป็นบางรายการ ตัวชี้วัดคุณภาพวันนี้จึงมีเพียงการให้วัคซีนป้องกันโรค หัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR.) และอัตราการตายของเด็กทารก (IMR) เท่านั้น ส่วนตัวชี้วัดอื่นยังต้องพัฒนาอีกมาก

อย่างไรก็ตาม ในพิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้ นายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ระบุว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดสรรงบประมาณและการจัดการระบบสุขภาพ มีทิศทางพัฒนาทั้งการขยายโครงสร้างพื้นฐานบริการสาธารณสุขโดยร่วมมือกับภาคเอกชน การจัดการบัญชียาที่จำเป็นต่อการเข้าถึงยาคุณภาพอย่างเท่าเทียม ไม่มีอุปสรรค่าใช้จ่าย และการแก้ปัญหาการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ สู่การมีสุขภาพดีถ้วนหน้าของคนในชาติ นับเป็นแนวโน้มที่ดีเพราะเป็นนโยบายที่รัฐบาลประกาศสนับสนุนควบคู่กับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ

ข้อมูลข้างต้นนี้ ทำให้ผมคิดถึงประเทศไทย วันนี้แม้ระบบสุขภาพบ้านเรายังคงมีเสียงก่นด่ากันเอง แต่ก็ยังมีคุณหมอใจดี นางฟ้าพยาบาล และหมออนามัยสุขใจกระจายทำหน้าที่ดูแลชาวบ้านในทุกพื้นที่ เรามีคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง ทำให้มียาและวัคซีนที่จำเป็นเพียงพอให้กับผู้ป่วยในระบบ และเรามีวิชาชีพสุขภาพแขนงต่างๆ ที่มุ่งดูแลประชาชน รวมถึงรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพประชาชน ส่งผลให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยประสบผลสำเร็จ แม้แต่โรคค่าใช้จ่ายสูง

ในเวทีนี้ นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกที่ได้เยือนประเทศไทยเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา พร้อมเยี่ยมชมการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง การล้างไตผ่านช่องท้องให้กับผู้ป่วยในชุมชนภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังได้กล่าวยกย่องประเทศไทยให้เป็นตัวอย่างของโลก ในฐานะประเทศที่มุ่งมั่นปกป้องผู้ป่วยและครอบครัวไม่ให้ล้มละลายจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ สร้างความมั่นคงให้กับประชาชนและประเทศ

นับเป็นอีกหนึ่งเวทีระดับโลกสะท้อนความสำเร็จ “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย” และความมุ่งมั่นประเทศต่างๆ รวมถึงศรีลังกาในฐานะประเทศเจ้าภาพ เพื่อผลักดันสู่เป้าหมายเดียวกัน “สุขภาพดีถ้วนหน้า โดยไม่ปล่อยให้ใครอยู่ข้างหลัง”