5 เทคโนโลยี (เพื่อสังคม) ที่ทำให้ชีวิต “ดีขึ้น”

5 เทคโนโลยี (เพื่อสังคม) ที่ทำให้ชีวิต “ดีขึ้น”

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน ฉบับนี้ดิฉันขอนำเรื่องของ “เทคโนโลยี” มาพูดถึงกันบ้างนะคะ 

หลายท่านคงทราบว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตคนนับล้านบนโลกให้มีชีวิตที่ดีขึ้น “วิคกี้ เฮิร์น” ผู้อำนวยการ Nominet TrustกิจการประเภทPublic benefit company ในอังกฤษ ได้รายงานไว้ในเวบไซต์ Pioneer Post ว่าเป็นที่คาดกันว่ากลุ่ม Digital social innovation หรือผู้ประกอบการธุรกิจดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมนั้นมีการขยายเป็น “เท่าตัว” ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา และยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมหาศาลโดยมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือ Social transformation เป็นตัวขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้

โดย Nominet Trust ได้ทำการศึกษาและเผยแนวโน้ม 5 ประการของเทคโนโลยีเพื่อสังคม หรือ Social tech ที่เชื่อว่าต่อไปจะมีผลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอีกมาก 

  1. บล็อกเชน(Blockchain)เทคโนโลยีผู้พลิกโฉมโลก ซึ่งหนึ่งในบล็อกเชนที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ “บิทคอยน์” (Bitcoin) แต่ก็มีคนจำนวนมากที่หาช่องทางการนำบล็อกเชนไปต่อยอดและสร้างประโยชน์ในด้านอื่นๆ ตัวอย่างเช่น เครือข่ายของบล็อกเชนสามารถนำไปใช้ในอุตสหากรรมการเงิน หรือแม้แต่ด้านราชการ ซึ่งจะสามารถให้บริการแก่ลูกค้าและประชากรโลกอีกนับพันล้านคน อาทิเช่นในประเทศซีเรีย โครงการอาหารโลก (WFP) ได้ใช้บล็อกเชนเพื่อบันทึกและทำรายการในการแจกจ่ายคูปองอาหารให้แก่ผู้อพยพกว่า 1 หมื่นคน เป็นต้น และที่สำคัญ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังเข้ามาช่วยเพิ่ม “ความโปร่งใส” และตรวจสอบได้ตลอดทั้งเชนได้อีกด้วย
  2. ปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence: AI)การนำหุ่นยนต์หรือ AI มาใช้ช่วยให้เราสามารถจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้นและยังจัดการได้ครั้งละมากๆ รวมถึงเข้ามาช่วยในการตัดสินใจ การสอน การรักษาโรค หรือแม้แต่การเตือนภัย ซึ่งสามารถทำให้คนเข้าถึงบริการสำคัญๆ ที่มีอย่างจำกัดได้มากขึ้น (เช่นบริการทางการแพทย์) ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลดีต่อผู้ให้บริการนั้นๆ ตัวอย่างเช่น บริษัทสตาร์ทอัพ Zebra ในประเทศอิสราเอลใช้ AI ในการแสกนภาพทางการแพทย์เพื่อหาเซลล์มะเร็ง โดยมีรายงานความแม่นยำถึง 91% ในขณะที่การเอ็กซเรย์หรือรังสีวิทยาในปัจจุบันมีความแม่นยำอยู่ที่ 88% และยังมี False positive น้อยกว่า ซึ่งแน่นอนว่าจะสามารถช่วยเหลือแพทยท์ในการทำงานเพื่อลดระยะเวลาการรักษาได้อย่างมาก
  3. เทคโนโลยีเลียนแบบสิ่งมีชีวิต (Bionics)เดิมทีเทคโนโลยีการทำอวัยวะเทียมหรือการเลียนแบบสิ่งมีชีวิตนั้นมีขนาดใหญ่และราคาแพง แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ และการสื่อสารระหว่างร่างกายและคอมพิวเตอร์หรือ Body Machine Interfaces (BMIs) ทำให้การผลิตกายอุปกรณ์หรืออวัยวะเทียมนั้นผลิตได้ง่ายและถูกลงมาก
  4. เทคโนโลยีอิมเมอร์ซีฟ(Immersive)หมายถึงเทคโนโลยีที่สร้างความกลมกลืมระหว่างโลกในความจริงกับโลกดิจิตอล ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกจนคล้ายกับอยู่ในโลกความเป็นจริง ตัวอย่างของเทคโนโลยีนี้ได้แก่ Virtual Reality (VR) หรือโลกเสมือนจริง และ Augmented reality (AR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำเอาภาพเสมือนจำลองทับซ้อนเข้ากันกับภาพจริงเป็นภาพๆเดียว ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวมีศักยภาพในการเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอย่างมหาศาล อาทิเช่น มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกำลังทดลองการรักษาด้วย VR Immersion ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเด็กสามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับโรงพยาบาลได้ โดยใส่แว่นเพื่อเข้าไปดูโลกเสมือนจริง (ที่ปลอดภัย) ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาจริง เป็นต้น
  5. ยานพาหนะไร้คนขับ (Autonomous Vehicles)การเดินทางด้วยพาหนะไร้คนขับทำให้ต้นทุนต่ำลง และช่วยให้เราเข้าถึงและสามารถ “ขนส่ง” ทุกอย่างได้ตั้งแต่คนจนถึงสิ่งของ เช่น กิจการรายหนึ่งในประเทศรวันดาในทวีปแอฟริกาได้เปิดตัว Zipline เพื่อใช้โดรนขนส่งยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งนอกจากโดรนแล้วบนพื้นดินเองระบบขนส่งสาธารณะแบบอัตโนมัติก็กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อบๆ เช่น โรงพยาบาล Changi General Hospital ในประเทศสิงคโปร์ได้เปิดตัววีลแชร์ที่ขับเคลื่อนได้เองเป็นที่สำเร็จ ซึ่งเป็นการช่วยผู้ที่มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหวได้อย่างมาก

บทสรุปของสิ่งเหล่านี้ คือการที่เรากำลังเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนโดยใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นอีกความท้าทายที่สำคัญของผู้ประกอบการทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง แบบที่กลัวกันว่า หุ่นยนต์จะมาแย่งงานคนรวมถึงเรื่องราวด้านลบที่ผ่านมาของเทคโนโยลีที่เป็นเหมือนดาบสองคม แต่ก็ต้องบอกว่าเทคโนโลยียังมีศักยภาพอีกมหาศาลที่จะนำมาใช้เพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่สังคม และทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้อีกมากค่ะ