รู้จักลงทุนหุ้นตามสไตล์ Factor เด่น
ช่วงนี้มีคนพูดถึงการลงทุนด้วยสไตล์ที่แตกต่างๆ ผมขอแนะนำแนวการลงทุนแบบที่เน้นปัจจัยหรือ factor เด่นให้รู้จักกันสักหน่อย
โดยผลงานที่โดดเด่นของ Eugene Fama และ Kenneth French เจ้าพ่อการลงทุนแนว Factor Investment คือ การวิเคราะห์ Factor หรือปัจจัยที่ 2 นักเศรษฐศาสตร์การเงินคนดังพบว่าสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนของตลาดได้ ประกอบด้วย พรีเมียมจากหุ้นคุณค่า (หุ้นคุณค่าเมื่อเทียบกับหุ้นเติบโต) พรีเมียมจากรายได้ (หุ้นที่ให้ปันผลสูงเมื่อเทียบกับหุ้นที่ให้ปันผลต่ำ) พรีเมียมจากขนาด (หุ้นขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่) และพรีเมียมจากโมเมนตัม (หุ้นที่เป็นผู้ชนะเมื่อเทียบกับหุ้นที่เป็นผู้แพ้)
นิยามของปัจจัยต่างๆ เป็นดังนี้
พรีเมียมจากหุ้นคุณค่า ตามนิยามของ Fama & French ทำได้โดยการแบ่งหุ้นออกเป็น Top 30% ที่เป็นหุ้นคุณค่า และ Bottom 30% ที่เป็นหุ้นเติบโต ตามอัตราส่วนของมูลค่าตามบัญชีต่อราคาตลาด ส่วนตัวเลขของอังกฤษ ทำได้โดยการแบ่งหุ้นออกเป็น Top 40% ที่เป็นหุ้นคุณค่า และ Bottom 40% ที่เป็นหุ้นเติบโต
พรีเมียมจากหุ้นปันผลสูง ของตลาดหุ้นสหรัฐใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Ken French โดยพรีเมียมดังกล่าวหาได้จากผลต่างของร้อยละ Yield ของหุ้นที่มี Yield สูงที่สุดร้อยละ 30 บนเมื่อเทียบกับหุ้นที่มี Yield ต่ำที่สุดร้อยละ 30 ล่าง หุ้นอังกฤษก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ใช้ LSPD data
พรีเมียมของหุ้นจากขนาดของบริษัท วิเคราะห์บนพื้นฐานของผลตอบแทนหุ้นขนาดเล็ก (เล็กที่สุด 30% ของตลาด) และผลตอบแทนหุ้นขนาดใหญ่ (ใหญ่ที่สุดร้อยละ 30 ของตลาด) จากฐานข้อมูลขนาดของบริษัทจากเว็บไซต์ของ Ken French ส่วนของอังกฤษ ใช้ผลตอบแทนหุ้นขนาดเล็ก (เล็กที่สุดร้อยละ 70 ของตลาด) และผลตอบแทนหุ้นขนาดใหญ่ (ใหญ่ที่สุดร้อยละ 30 ของตลาด)
พรีเมียมจากโมเมนตัม คำนวณจากงาน Griffin, Ji, and Martin’s (2003) โดยใช้กลยุทธ์ 6/1/6 ที่หุ้นใช้การวัดผลตอบแทนในช่วงระยะเวลา 6 เดือน หลังจากนั้น 1 เดือน หุ้นที่มีผลตอบแทนสูงสุดหนึ่งในห้าของตารางบน หรือ Winner จะถูกซื้อ ส่วนหุ้นที่มีผลตอบแทนต่ำสุดหนึ่งในห้าของตารางล่าง หรือ Loser จะถูกขาย พอร์ตโฟลิโอดังกล่าวจะถือไว้เป็นระยะเวลา 6 เดือน แล้วจึงทำการปรับพอร์ตใหม่ โดยพรีเมียมจากโมเมนตัมจะคำนวณจากผลต่างของผลตอบแทนของ Winner ลบด้วย Loser
ส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านปัจจัย (Factor Premia) หลังจากอัตราดอกเบี้ยขึ้นและลง
qcZLXcKX.png
ข้อมูลที่ใช้สำหรับ Factor data ของสหรัฐนั้น ย้อนหลังกลับไปถึงปี 1927 มากระทั่งปี 2015 สำหรับข้อมูลของอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1956 ถึงปี 2015
จากรูปพบว่า Value, income and size ให้ผลตอบแทนส่วนเกินที่เป็นบวกระดับ 2-3% ต่อปีในสหรัฐ และ 3-6% ในอังกฤษ ส่วน Momentum ให้ผลตอบแทนส่วนเกินที่สูงกว่าปัจจัยอื่นๆ เป็นอย่างมาก แม้ว่าอาจจะมีค่าเทรดหุ้นสูงกว่าก็ตาม
สำหรับการวิเคราะห์ภายใต้อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและลงนั้น สิ่งที่โดดเด่นมากคือการที่ปัจจัย Momentum ของตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนเพียง 2% ในช่วงดอกเบี้ยขาลง และให้อัตราผลตอบแทนถึง 15% ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
เมื่ออัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้พรีเมียมจากมูลค่า รายได้และขนาดเพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและอังกฤษ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง จะทำให้พรีเมียมจาก momentum สูงขึ้นในอังกฤษ ทว่าไม่เกิดขึ้นในสหรัฐ ทำให้จะเห็นได้ว่าผลของพรีเมียมจากโมเมนตัมในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นและขาลงขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของตลาดหุ้นในช่วงเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขึ้นอยู่กับธรรมชาติของตลาดหุ้นแต่ละแห่ง
จะเห็นได้ว่าพรีเมียมจากคุณค่าและรายได้ยังคงมีค่าเป็นบวกแม้กระทั่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แม้ว่าจะมีค่าเกือบเป็นศูนย์สำหรับพรีเมียมจากคุณค่าในสหรัฐ ที่น่าสนใจคือ พรีเมียมจากขนาดมีค่าเป็นลบเมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น และส่วนต่างของพรีเมียมดังกล่าวสูงมากระหว่างช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นและขาลง
เหตุผลที่หุ้นขนาดเล็กทั้งในสหรัฐและอังกฤษมีผลตอบแทนต่ำหรือเป็นลบในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจาก
1.บริษัทขนาดเล็กมีแนวโน้มจะมีสินทรัพย์ ยอดขาย และกำไร กระจุกตัวอยู่ภายในประเทศ เนื่องจากช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เราโฟกัสไปที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อบริหารอัตราเงินเฟ้อ จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเล็กมากกว่าหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศด้วย
2.โดยทั่วไปในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น บริษัทขนาดเล็กจะอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าด้านการหาแหล่งเงินทุน ไม่ค่อยสามารถออกหุ้นกู้ด้วยตัวเองได้ ลังเลที่จะออกหุ้นสามัญใหม่ในตลาดทุน โดยพึ่งพาเฉพาะการกู้จากแบงก์เป็นหลัก บริษัทขนาดใหญ่สามารถไปหาแหล่งเงินในประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้
3.บริษัทขนาดเล็กมักจะมีสินทรัพย์ในส่วนที่เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเซกเตอร์ในประเทศที่แกว่งตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ
โดยสรุปคือ หุ้นที่เป็นหุ้นคุณค่าหรือที่ค่อนข้าง Defensive หุ้นที่จ่ายเงินปันผลเยอะ หุ้นขนาดเล็ก และหุ้นที่กำลังเป็นช่วงขาขึ้น มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าครับ